วันพฤหัสบดี, มกราคม 18, 2550

ออสการ์ 2007 (4): ลาก่อน “ไอโว จิมา” สวัสดี “บาเบล”


เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจาก Letters From Iwo Jima คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากสมาคมนักวิจารณ์แอล.เอ. และ คลินท์ อีสต์วู้ด ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมจากหนัง “สอง” เรื่อง คือ Flags of Our Fathers และ Letters From Iwo Jima โชคชะตาก็เล่นตลก เมื่อหนังสงครามโลกครั้งที่สองจากมุมมองของทหารญี่ปุ่นได้พลิกสถานะจากตัวเต็งที่จะเข้าชิงออสการ์ในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมมาเป็นหนัง “หลุดโผ” ภายในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อสมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้าง (PGA) สมาพันธ์นักแสดง (SAG) และสมาพันธ์ผู้กำกับ (DGA) ล้วนมองข้ามความพยายามของอีสต์วู้ดกันทั่วหน้า

อาการสะดุดเสียหลักของ Letters From Iwo Jima เป็นการเดินสวนทางกับ Babel ซึ่งได้เสียงสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากทุกสมาพันธ์ รวมถึงรางวัลลูกโลกทองคำภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (ชีวิต) จนทำให้มันกลายเป็นตัวเก็งในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมพร้อมกับ The Departed, The Queen, Dreamgirls และ Little Miss Sunshine

รางวัล DGA ถือเป็นดัชนีที่น่าเชื่อถือที่สุดในการคาดเดาออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เพราะทั้งสองสถาบันเห็นตรงกันมา 4 ปีเต็มแล้ว โดยครั้งล่าสุดที่ DGA เก็งรางวัลหนังยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์พลาด คือ ในปี 2002 เมื่อรายชื่อ DGA ประกอบไปด้วย รอน โฮเวิร์ด (A Beautiful Mind) ริดลีย์ สก็อตต์ (Black Hawk Down) ปีเตอร์ แจ๊คสัน (The Fellowship of the Ring) คริสโตเฟอร์ โนแลนด์ (Memento) และ แบซ เลอร์แมน (Moulin Rouge!) แต่หนังยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์กลับมี Gosford Park กับ In the Bedroom เข้ามาแทนที่ Memento กับ Black Hawk Down

ความแข็งแกร่งของหนังทั้ง 5 เรื่องข้างต้น (Babel, The Departed, The Queen, Dreamgirls, Little Miss Sunshine) ได้รับการตอกย้ำด้วยรางวัล PGA ซึ่งเห็นตรงกับ DGA และทั้งสองก็เกือบจะเห็นตรงกับ SAG (สาขานักแสดงกลุ่ม ซึ่งเทียบได้กับหนังยอดเยี่ยมของ SAG) ต่างกันเพียงแค่ The Queen ถูกแทนที่โดย Bobby ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เมื่อพิจารณาว่า The Queen เป็นหนัง “อังกฤษ” ที่โดดเด่นด้วยการโชว์ทักษะการแสดงแบบฉายเดี่ยวของ เฮเลน เมียร์เรน ส่วน Bobby เป็นหนังรวมดารา “อเมริกัน” ที่ใกล้เคียงกับชื่อของสาขา คือ การ “แสดงกลุ่ม” มากกว่า แต่อย่าคาดหวังว่าหนังเรื่องนี้จะมีโอกาสเยื้องย่างเข้าใกล้เวทีออสการ์ แม้ว่ามันจะถูกจัดจำหน่ายโดย ฮาร์วีย์ ไวน์สไตน์ ก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ในสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม รางวัล DGA มักคลาดเคลื่อนกับออสการ์อยู่เสมอ (แม้ว่าปีที่แล้ว DGA จะเดาถูกครบถ้วนเพราะรางวัลหนังและผู้กำกับของออสการ์ตรงกัน 100% ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งนัก) และเนื่องจากกรรมการออสการ์ในสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมมีจำนวนจำกัดกว่า DGA หลายเท่าตัว(สมาชิก DGA มีมากถึง 13,400 คน ขณะที่สมาชิกผู้กำกับของออสการ์มีเพียง 376 คน) โอกาสที่ม้ามืดอย่าง พอล กรีนกราส, อัลฟองโซ คัวรอน และ กิลเลอโม เดล โทโร จะได้เข้าชิงถือว่าไม่น้อย แบบเดียวกับที่ ไมค์ ลีห์ (Vera Drake), เดวิด ลินช์ (Mulholland Drive), เปโดร อัลโมโดวาร์ (Talk to Her) และ เฟอร์แนนโด ไมเรลเลส (City of God) เคยทำสำเร็จมาแล้ว

ด้วยเหตุนี้บุคคลที่ “เปราะบาง” สุด ได้แก่ สองผู้กำกับ โจนาธาน เดย์ตัน และ วาเลอรี ฟาริส แห่ง Little Miss Sunshine ซึ่งนอกจากจะเป็นมือใหม่ท่ามกลางคู่แข่งเขี้ยวลากดินจำนวนมากแล้ว หนังตลกของพวกเขายังปราศจากสไตล์ หรือการโชว์ทักษะอันโดดเด่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องถูกนำไปเทียบกับผลงานสุดหวือหวาอย่าง United 93, Children of Men และ Pan’s Labyrinth

แต่เชื่อกันว่า ผู้กำกับที่จะเบียดโค้งสุดท้ายมาเข้าชิงแบบโดดๆ ได้ในสาขานี้ท่ามกลางการแข่งขันอันเชี่ยวกราก คือ คลินท์ อีสต์วู้ด ที่แม้จะผ่านพ้นวัยเกษียณมานานแล้ว แต่กลับยังผลิตผลงานทะเยอทะยานอย่าง Flags of Our Fathers และ Letters From Iwo Jima ในปีเดียวกัน หนังสงครามทั้งสองเรื่องเปี่ยมไปด้วยสไตล์ ทักษะการเล่าเรื่อง และสโคปที่ยิ่งใหญ่ ขณะเดียวกัน อีสต์วู้ดก็มีแฟนพันธุ์แท้ในฮอลลีวู้ดอยู่มากมาย มันคงเป็นเหมือนการตบหน้าฉาดใหญ่ หากออสการ์มองข้ามเขาไป

พูดถึงอาการ “วูบ” ของ Letters From Iwo Jima หลายคนโยนบาปให้แก่แผนโปรโมตของสตูดิโอที่ส่งหนังเข้าฉายแบบกระชั้นชิดในช่วงปลายปี จนทำให้ปรากฏการณ์ปากต่อปากไม่มีโอกาสสำแดงฤทธิ์เหมือนกรณีหนังเล็กๆ อย่าง The Queen และ Babel ซึ่งเข้าฉายแบบจำกัดโรงตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม หลังได้เสียงตอบรับอย่างอบอุ่นในเทศกาลหนังเวนิซและคานส์ตามลำดับ ตรงกันข้าม ไม่มีใครได้ดูหนังสงครามเรื่องที่สองของอีสต์วู้ด จนกระทั่งช่วงต้นเดือนธันวาคม เมื่อมันเดินสายเปิดฉายรอบพิเศษให้นักวิจารณ์และคนในวงการ หลายคนอาจโต้แย้งว่า Million Dollar Baby ก็เคยเข้าฉายแบบกระชั้นชิดเช่นนี้มาก่อน แต่สุดท้ายก็สามารถคว้ารางวัลออสการ์มาครองได้สำเร็จ ความแตกต่างสำคัญ คือ หนังนักมวยเรื่องนั้นมีทีมนักแสดงฮอลลีวู้ดเกรดเอและพูดภาษาอังกฤษ ส่วนหนังสงครามเรื่องนี้มีแค่ เคน วาทานาเบ้ และพูดภาษาญี่ปุ่น

กฎแบนสกรีนเนอร์ (ดีวีดี) ของคณะกรรมการ DGA น่าจะส่งผลกระทบไม่น้อยกับหนังปลายปีหลายเรื่องตั้งแต่ Letters From Iwo Jima ไปจนถึง Children of Men และ Pan’s Labyrinth ทั้งสามได้รับคำชื่นชมอย่างท่วมท้นจากนักวิจารณ์ แต่ยังเข้าฉายแบบจำกัดโรง (Children of Men เพิ่งเปิดฉายวงกว้างไปเมื่อวันที่ 5 มกราคม) ด้วยเหตุนี้ ทางสตูดิโอจึงพยายามจัดฉายรอบพิเศษให้คณะกรรมการบ่อยครั้ง แต่เนื่องจากช่วงปลายปีมีหนัง “คุณภาพ” ยัดเยียดกันเข้าฉายเพื่อให้มีสิทธิ์เข้าชิงออสการ์มากมาย แถมยังเป็นช่วงวันหยุดยาว โอกาสที่กรรมการจะได้ดูหนังเหล่านั้นครบทุกเรื่องจึงถือว่าน้อยมาก (รอบพิเศษของ Letters From Iwo Jima หลายรอบร้างผู้คนพอๆ กับป่าช้า) ที่สำคัญ หนังอย่าง Letters From Iwo Jima คงสร้างความประทับใจได้มากกว่า หากเป็นการชมในโรงภาพยนตร์ เนื่องจากการจัดองค์ประกอบภาพอันประณีตและสไตล์การเล่าเรื่องแบบเนิบช้าของอีสต์วู้ด

นั่นนำไปสู่ข้อวิพากษ์ที่ว่า บรรดาสตูดิโอยังคงวางโปรแกรมหนังรางวัลแบบเดิม ทั้งที่กรรมการออสการ์ได้เลื่อนเวลาจัดงานให้เร็วขึ้นมาหนึ่งเดือนแล้ว ฉะนั้นบางทีการเปิดฉายหนังแบบจำกัดโรงในช่วงสัปดาห์ท้ายๆ ของเดือนธันวาคมอาจ “ช้าเกินไป” ที่จะสร้างกระแส แต่ขณะเดียวกัน บางคนกลับเห็นว่าสาเหตุแท้จริงที่ทำให้หนังคุณภาพทั้งสามเรื่องข้างต้นหลุดโผบรรดาสมาพันธ์ทั้งหลายเป็นเพียงเพราะเหล่ากรรมการไม่ได้ชอบพวกมันมากไปกว่า Babel, The Departed, Dreamgirls, The Queen และ Little Miss Sunshine… ก็เท่านั้น

ชัยชนะบนเวทีลูกโลกทองคำได้ผลักดัน Babel ขึ้นมาเป็นตัวเก็งที่จะคว้ารางวัลสูงสุดบนเวทีออสการ์ควบคู่กับ Dreamgirls และ The Departed สถานการณ์คลุมเครือกลายเป็นผลดีเพราะออสการ์ปีนี้อาจมีเรื่องให้ลุ้นได้มากกว่าปีก่อนๆ หนังทั้งสามต่างมีข้อดีข้อด้อยแตกต่างกันไป Babel ถูกลืมอย่างสิ้นเชิงในช่วงเทศกาลรางวัลนักวิจารณ์ ซึ่งส่วนใหญ่มีความเห็นก้ำกึ่งต่อคุณภาพหนัง (Crash เวอร์ชั่นนานาชาติ?) สำหรับ Dreamgirls หลายคนเห็นว่า “สนุก” แต่เบาหวิวเกินไปกับตำแหน่งหนังเยี่ยม (Chicago เคยถูกกล่าวหาคล้ายๆ กันมาแล้ว) นอกจากนี้ มันยังเป็นหนังของคนผิวสี ซึ่งตามสถิติมักลงเอยด้วยการเป็นผู้แพ้มากกว่าผู้ชนะ ไม่เชื่อลองดู The Color Purple และ Ray เป็นตัวอย่าง ส่วน The Departed หนังซึ่งกวาดคำชมจากนักวิจารณ์อย่างเป็นเอกฉันท์ที่สุด ก็ถูกตีตราว่าไม่ถูกรสนิยมกรรมการออสการ์ เพราะหนังปราศจากสาระสำคัญและประเด็นยิ่งใหญ่ (ในจุดนี้ Babel จึงถือว่าได้เปรียบสุดในบรรดาสามเรื่อง) แถมยังมีความรุนแรงแบบถึงเลือดถึงเนื้ออีกด้วย แต่นั่นดูเหมือนจะไม่ทำลายโอกาสของหนังอย่าง The Silence of the Lambs

ก่อนหน้างานลูกโลกทองคำ กระแส Dreamgirls ดูจะเริ่มอ่อนแรงไปมาก เมื่อหนังถูกโจมตีจากเหล่านักวิจารณ์จำนวนหนึ่ง ในตาราง Top Ten ของ moviecitynews.com ซึ่งรวบรวมรายชื่อของหนังสิบเรื่องเยี่ยมแห่งปีของนักวิจารณ์ในเอาไว้มากที่สุด หนังเรื่องนี้มีคะแนนรวมอยู่ที่อันดับ 11 ต่ำกว่า Babel (8) Little Miss Sunshine (7) The Departed (3) The Queen (2) รวมถึง Children of Men (10), Letters From Iwo Jima (5), Pan’s Labyrinth และ United 93 (1) ที่สำคัญ หนังยังทำรายได้ไม่ค่อยน่าประทับใจในการเปิดฉายวงกว้าง แต่ผลลูกโลกทองคำคงช่วยให้หนังฟื้นคืนกำลังวังชาได้ไม่น้อย และบางทีอาจกระตุ้นรายได้หนังให้เพิ่มขึ้นด้วย (ในทางตรงกันข้าม ชัยชนะบนเวทีลูกโลกทองคำดูเหมือนจะไม่ส่งผลดีใดๆ กับ Walk the Line เมื่อปีก่อน)

กระนั้น สิ่งสำคัญที่ทุกคนควรระลึกไว้เสมอ คือ นักวิจารณ์/นักข่าวมีอิทธิพลต่อรางวัลออสการ์น้อยมาก หรืออาจจะไม่มีเลย ตัวอย่างชัดเจน ได้แก่ ผลรางวัลออสการ์ในครั้งที่ผ่านมา เมื่อหนังขวัญใจนักวิจารณ์พ่ายแพ้รางวัลใหญ่ให้กับหนังที่ถูกนักวิจารณ์จำนวนหนึ่งโขกสับแบบไม่เหลือชิ้นดี

สำหรับรายชื่อผู้เข้าชิงออสการ์ในสาขาดารานำหญิงนั้นดูเหมือนจะถูก “ล็อก” ไว้แล้วเรียบร้อย มันจะถือว่าเป็นปรากฏการณ์ล็อกถล่มอย่างแรงหากรายชื่อห้าคนไม่ได้ประกอบไปด้วย เฮเลน เมียร์เรน, จูดี้ เดนช์, เมอรีล สตรีพ, เคท วินสเล็ท และ เพเนโลปี ครูซ ส่วนผู้ชนะ แน่นอน คุณคงจะพอคาดเดากันได้ไม่ยาก

จริงอยู่ว่า เฮเลน เมียร์เรน อาจนอนมาในสาขาดารานำหญิง แต่ ฟอร์เรสต์ วิทเทเกอร์ ซึ่งกวาดรางวัลใหญ่ๆ มาแบบครบถ้วนเหมือนกันกลับถูกมองว่าค่อนข้าง “เปราะบาง” ในการคว้ารางวัลดารานำชายยอดเยี่ยม ทั้งนี้เพราะคู่แข่งสำคัญของเขา (หากไม่มีการพลิกโผ) ล้วนยังไม่เคยได้ออสการ์มาครองทั้งสิ้น (ตรงกันข้ามกับเมียร์เรน ซึ่งมีสตรีพและเดนช์เป็นคู่แข่งสำคัญ) ไม่ว่าจะเป็น ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ, วิล สมิธ หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปีเตอร์ โอ’ทูล ซึ่งเคยเข้าชิงมาแล้ว 7 ครั้ง แต่ต้องกลับบ้านมือเปล่าทุกครั้งไป ดิคาปริโออาจหลุดจากโผเอาได้ง่ายๆ หากคณะกรรมการลงคะแนนแบบไม่สามัคคีกัน แล้วเลือกเขาจากทั้ง Blood Diamond และ The Departed ส่วนหนังเรื่อง The Pursuit of Happyness ของสมิธก็ถูกนักวิจารณ์สับเละ แน่ล่ะมันเป็นหนังฮิตทำเงินที่ช่วยพิสูจน์สถานะซูเปอร์สตาร์ของเขา แต่เสน่ห์และพลังดาราที่มากเกินไปอาจทำให้เขาถูกมองเข้าในฐานะนักแสดง (ทอม ครูซ ก็เคยตกที่นั่งลำบากแบบนี้มาแล้ว) ตอนนี้ บุคคลเดียวที่ดูเหมือนจะมีโอกาสสั่นบัลลังก์ของวิทเทเกอร์ได้ คือ โอ’ทูล แต่สุขภาพอันย่ำแย่ทำให้เขาไม่สามารถบินจากเกาะอังกฤษมาโปรโมตหนังและตัวเองได้มากนัก

สี่คนข้างต้นดูเหมือนจะจองตำแหน่งในสาขาดารานำชายยอดเยี่ยมไว้แล้ว ส่วนตำแหน่งที่ 5 คงเป็นการฟาดฟันกันระหว่าง ไรอัน กอสลิ่ง ขวัญใจนักวิจารณ์ที่ได้แรงสนับสนุนจาก SAG ซาชา บารอน โคเอน ขวัญใจคนดูที่ได้แรงสนับสนุนจากลูกโลกทองคำ และ เคน วาทานาเบ้ ซึ่งอาจได้แรงสนับสนุนจากตัวหนัง หาก Letters From Iwo Jima สร้างปาฏิหาริย์เบียดเข้าชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมได้สำเร็จ แบบเดียวกับการเข้าชิงดารานำชายยอดเยี่ยมของ คลินท์ อีสต์วู้ด จาก Million Dollar Baby หลังถูก SAG และนักวิจารณ์ทอดทิ้ง

สถานการณ์ของสาขาดารานำชายค่อนข้างใกล้เคียงกับสาขาดาราสมทบหญิง ซึ่งมีตัวเก็งแน่นอนอยู่แล้ว 4 คน คือ เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน, เอเดรียนา บาร์ราซา, เคท แบลนเชตต์ และ รินโกะ คิคูชิ (และเช่นเดียวกัน ผู้ชนะในสาขานี้ก็ดูเหมือนจะถูกกำหนดไว้แล้ว) ส่วนคนที่ 5 นั้น มีโอกาสสูงว่าน่าจะเป็น อบิเกล เบรสลิน จาก Little Miss Sunshine เพราะเราทุกคนต่างทราบกันดีว่าออสการ์รักเด็กมากแค่ไหน และ Little Miss Sunshine เองก็เป็นตัวเก็งในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม แต่โอกาสพลิกล็อกก็ยังพอจะมีให้เห็นบ้าง โดยคนที่อาจจะเบียดเข้ามาในโค้งสุดท้าย คือ เอมิลี่ บลันท์ จาก The Devil Wears Prada ซึ่งหลุดเข้าชิงลูกโลกทองคำได้อย่างเหลือเชื่อ

ตอนนี้สาขาที่คนดูสามารถลุ้นรายชื่อผู้เข้าชิงได้สนุกสุด คือ ดาราสมทบชาย เพราะนอกจาก เอ็ดดี้ เมอร์ฟีย์ ซึ่งเป็นตัวเก็งที่จะคว้ารางวัลมาครองหลังถูกเสนอชื่อเข้าชิงแบบครบทุกสถาบันแล้ว ตำแหน่งอีก 4 ที่เหลือยังพร้อมสำหรับการแย่งชิง แจ๊ค นิโคลสัน น่าจะอาศัยความเก๋าเบียดเข้าชิงได้ หลังพลาดท่าไปกับ SAG เพราะ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ จาก The Departed ถูกเปลี่ยนให้มาเข้าชิงในสาขาดาราสมทบแทน แต่เขาอาจตัดคะแนนกันเองกับ มาร์ค วอห์ลเบิร์ก ซึ่งเริ่มได้กระแสม้าตีนปลาย (โอกาสที่ทั้งสองจะได้เข้าชิงพร้อมกันเหมือนสองดาราหญิงจาก Babel คงริบหรี่เมื่อสังเกตจากการตัดสินใจของของ SAG) แจ๊คกี้ เอิร์ล ฮาลีย์ เป็นขวัญใจนักวิจารณ์ แต่บทชายที่ชอบเสพสังวาสกับเด็กของเขาใน Little Children อาจเป็นยาขมเกินกว่าคณะกรรมการออสการ์จะรับไหว ส่วน อลัน อาร์กินส์ ก็อาจถูกแย่งคะแนนจากดาราในหนัง Little Miss Sunshine อีกหลายคน แต่ได้เปรียบในแง่เครดิตก่อนหน้าบนเวทีออสการ์ จิมอน ฮอนซู เป็นอีกคนที่มีโอกาสได้เข้าชิงค่อนข้างสูง แต่ Blood Diamond ขาดเสียงสนับสนุนในสาขาสำคัญอื่นๆ ซึ่งตรงนี้อาจทำให้ แบรด พิทท์ ได้เปรียบ เนื่องจาก Babel เป็นตัวเก็งที่จะได้เข้าชิงออสการ์หลายสาขา แม้การหลุดโผ SAG จะทำให้เขาเสียรังวัดไปไม่น้อย อีกคนที่อาจขี่กระแสหนังไปติดหนึ่งในห้า คือ ไมเคิล ชีน แต่อาการแกว่งหลังจากลูกโลกทองคำและ SAG ทำให้เขาเสี่ยงต่อการถูกมองข้ามมากขึ้นเรื่อยๆ

4 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

อ่านมาตั้งนาน สรุปว่าก็ยังฟันธงยากอยู่ดีสำหรับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
ว่าแล้วก็อยากดูหนังออสการ์ปีนี้ทุกเรื่องเรยยยย...

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เพิ่งได้ดูตัวอย่าง Babel ในโรง ขนลุกเลยครับ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เห็นด้วยกับคุณ..merveillesxx ดูตัวอย่าง Babelแล้วอยากดูมากๆๆๆๆ...เป็นหนังที่รอคอยจริงๆ

Riverdale กล่าวว่า...

น่าแปลกที่ยังไม่ทันประกาศรายชื่อผู้เข้าชิง หลายสาขากลับดูเหมือนถูกล็อกผู้ชนะไว้เรียบร้อยแล้ว เช่น ผู้กำกับ/นำชาย/นำหญิง/สมทบชาย/สมทบหญิง สาขาเดียวที่ยังไม่แน่ไม่นอนที่สุด คือ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ซึ่งแทบทุกเรื่องดูเหมือนจะมีโอกาสใกล้เคียงกันเลย