วันจันทร์, กันยายน 03, 2550

Laughter is the Best Medicine


วันก่อนมีนักข่าว (เจ้าเดิม) โทรมาขอความเห็นเกี่ยวกับหนังตลก แต่คราวนี้ผมต้องคิดหนักหน่อย เพราะหนังตลกมีให้เลือกเยอะแยะมากมายกว่าหนังเลสเบี้ยนหลายเท่า การคัดให้เหลือแค่ 5 เรื่องถือเป็นเรื่องยากมาก และต้องใช้อัตวิสัยเป็นสำคัญ แน่นอน การที่เราจะตัดสินว่าอะไรตลกหรือไม่ตลกมันก็เป็นเรื่องส่วนตัวอยู่แล้ว บางคนอาจดูหนังเรื่องหนึ่งแล้วขำกลิ้ง แต่อีกคนกลับไม่นึกขำไปด้วยก็ได้ (เช่น หนังอย่างหลวงพี่เท่ง ซึ่งผมแทบไม่ขำเลยสักแอะ แต่เกือบทุกคนในโรงดูเหมือนจะมีความสุขกับมันดี) ฉะนั้นรายชื่อข้างล่างอาจเรียกได้ว่าเป็นหนังตลกที่ผมชอบ และเคยหัวเราะให้มันอย่างหนักมาแล้ว (แต่ถ้ามาดูใหม่ตอนนี้อาจเปลี่ยนความคิดได้) และแน่นอน ส่วนใหญ่ผมจะเลือกหนังที่ไม่เก่าเกินไปนัก แม้ใจจริงจะชอบหนังของ ชาร์ลี แชปลิน อยู่หลายเรื่องก็ตาม

Top Secret! (1984) ก่อนหน้า Austin Powers และ Date Movie จะถือกำเนิด ยังมีกลุ่มนักทำหนังที่ชื่อว่า ZAZ เจ้าของสูตรสำเร็จของหนังล้อหนัง ซึ่งไม่เน้นพล็อต ตัวละคร หรือความเป็นเหตุเป็นผลใดๆ เพราะสิ่งเดียวที่พวกเขา (สามผู้กำกับ/เขียนบท จิม อับราฮัม, เดวิด ซัคเกอร์ และเจอร์รี่ ซัคเกอร์) ต้องการ คือ ทำให้คนดูหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง ถ้าต้องเลือกหนังของ ZAZ เพียงเรื่องเดียว หลายคนอาจคิดถึง Airplane! หรือ The Naked Gun แต่ผมกลับชื่นชอบผลงาน ซึ่งไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จของพวกเขาเรื่องนี้มากกว่า เป้าล้อเลียนหลักได้แก่ หนังสายลับทั้งหลายและหนังเพลงของ เอลวิส เพรสลีย์ แก๊กตลกสารพัดสารเพอัดแน่นอยู่ในทุกฉากทุกตอน จนไม่อาจระบุให้แน่ชัดไปได้ว่าไฮท์ไลท์อยู่ตรงไหน แต่หนึ่งในนั้นเห็นจะเป็นฉากวัวกระทิงไล่กวดวัวปลอมพร้อมดนตรีประกอบจากหนังเรื่อง Jaws

There’s Something About Mary (1998) แบบฉบับของหนังตลกยุคใหม่ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงจนทำให้หลายคนพยายามเลียนแบบ หรือกระทั่งพยายามจะวิ่งแซงหน้าด้วยการคิดหาแก๊กตลกที่ลามกกว่า โจ่งแจ้งกว่า ร้ายกาจกว่า และอุบาทว์กว่า แต่สุดท้ายกลับไม่มีหนังเรื่องใดเรียกเสียงหัวเราะได้อย่างทรงประสิทธิภาพเท่าผลงานชิ้นเอกเรื่องนี้ของสองพี่น้อง บ็อบบี้ กับ ปีเตอร์ ฟาร์เรลลี่ ซึ่งเล่าถึงเรื่องราวของหญิงสาวแสนสวยที่ใครๆ ต่างพากันตกหลุมรัก เบน สติลเลอร์ เล่นบทไอ้ขี้แพ้ได้เก่งกาจชนิดไม่เป็นรองใคร ส่วน คาเมรอน ดิแอซ ก็ดูสวยใสไร้เดียงสาได้อย่างสมจริงจนนักวิจารณ์บางสถาบันถึงขั้นมอบรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมประจำปีให้เธอ หนังอุดมไปด้วยฉาก “คลาสสิก” นับสิบ ตั้งแต่การใช้น้ำกามแทนเจลแต่งผม ไปจนถึงภาพสุนัขเข้าเฝือกแบบเต็มตัว ทว่าจุดเด่นหนึ่งของหนังอยู่ตรงที่มันสามารถทำให้คนดูลุ้นเอาใจช่วยตัวเอกให้เอาชนะใจหญิงสาวได้ในท้ายที่สุด

When Harry Met Sally (1989) ทุกวันนี้หนังตลกโรแมนติกดีๆ สักเรื่องช่างหายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร แต่เมื่อไม่นานก่อนหน้า (แค่ประมาณเกือบสองทศวรรษที่แล้วเท่านั้น) ผู้กำกับ ร็อบ ไรเนอร์ เคยสร้างหนังตลกโรแมนติกเรื่องเยี่ยมเอาไว้ นำแสดงโดยสองดาราที่เข้าคู่กันได้อย่างเหลือเชื่อ นั่นคือ เม็ก ไรอัน กับ บิลลี่ คริสตัล ในบทสองหนุ่มสาวที่พยายามจะค้นหารักแท้และชื่นชอบกันและกันในฐานะเพื่อน แต่ผู้ชายกับผู้หญิงสามารถเป็นเพื่อนกันโดยไม่มีเรื่องเพศเข้ามาเกี่ยวข้องได้หรือ ฉากคลาสสิกที่ทุกคนคงจดจำได้แบบไม่มีวันลืม คือ ตอนที่ เม็ก ไรอัน พิสูจน์ให้ บิลลี่ คริสตอล เห็นว่าผู้หญิงสามารถแกล้งทำเป็นถึงจุดสุดยอดเวลาอยู่บนเตียงได้อย่างไรกลางร้านอาหารแห่งหนึ่ง ก่อนผู้หญิงโต๊ะข้างๆ จะสะกิดบอกพนักงานเสิร์ฟว่า “ฉันขอแบบของเธอหนึ่งที่”

Tootsie (1982) ถ้าบรรดาหนังกะเทยแต่งหญิงของไทยมีบทที่เฉียบคมและฉลาดได้เพียงครึ่งของผลงานชิ้นนี้ วงการหนังไทยคงได้วิ่งฉลุยในต่างแดน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายแม้แต่น้อย เพราะแม้กระทั่งฮอลลีวู้ดเองก็ยังไม่สามารถผลิตผลงานที่มีคุณภาพในระดับทัดเทียมกันออกมาได้ (ไม่เชื่อลองดู Mrs. Doubtfire เป็นตัวอย่าง) ผู้กำกับ ซิดนีย์ พอลแล็ค รักษาสมดุลระหว่างการเรียกเสียงหัวเราะ (นักแสดงหนุ่มปลอมตัวเป็นผู้หญิงไปสมัครงาน) กับเนื้อหาอันเข้มข้น จริงจัง ปนอารมณ์เฟมินิสต์นิดหน่อย (เขาเรียนรู้ที่จะเป็นมนุษย์ที่น่าคบหามากขึ้นจากการสวมบทบาทเป็นผู้หญิงในโลกของชายเป็นใหญ่) ได้อย่างพอเหมาะ ฉากฮาสุดฉากหนึ่งเป็นตอนที่ไมเคิล (ดัสติน ฮอฟฟ์แมน) ในมาดโดโรธีเปิดเผยตัวเป็นครั้งแรกกับเอเย่นต์ (รับบทโดยพอลแล็ค) ในร้านอาหาร แต่จะว่าไป ฉากที่พ่อของจูลี่ (เจสซิก้า แลงจ์) ตามจีบโดโรธี/ไมเคิล ก็น่าจะเรียกเสียงฮาได้ไม่แพ้กัน

Liar Liar (1997) ความสนุกของหนังเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับว่าคุณชอบ จิม แคร์รี่ และมุกตลกเน้นใบหน้า ท่าทางของเขามากแค่ไหน ถ้าคุณชอบแก๊กประเภทนี้ รับรองได้ว่าหนังเรื่อง Liar Liar จะกลายเป็นเครื่องจักรเรียกเสียงหัวเราะชั้นยอด เพราะบทเปิดโอกาสให้แคร์รี่ได้ปล่อยของแบบหมดเปลือก โดยไม่ต้องอาศัยเทคนิคพิเศษเข้าช่วยเหมือนใน The Mask เรื่องราวของทนายความที่โดนพรวันเกิดของลูกเล่นงานจนไม่สามารถพูดปดเป็นเวลาหนึ่งวัน แค่เห็นพล็อต คุณก็คงพอจะเดาได้ว่าหนังต้องเสียดสีและจิกกัดอาชีพหมอความกันอย่างสนุกสนาน แถมตอนจบยังแอบซึ้งได้พอเหมาะพอดี เมื่อคุณพ่อบ้างานจอมตลบตะแลงเรียนรู้ที่จะหันมาใส่ใจครอบครัวให้มากขึ้น นอกจากนี้ เทคหลุดในเครดิตท้ายเรื่องก็ขำไม่แพ้ตัวหนังเลยทีเดียว มันพิสูจน์ให้เห็นว่าการตีหน้าตาย หรือเล่นตามบทนั้นเป็นเรื่องยากเย็นเหลือแสน เมื่อคุณต้องเข้าฉากประกบนักแสดงบ้าๆ อย่าง จิม แคร์รี่

ไม่มีความคิดเห็น: