วันพุธ, กันยายน 12, 2550

Short Replay: Pulse


หนังสยองขวัญชั้นยอดไม่จำเป็นต้องสาดเลือด ล้วงเครื่องใน และกระหน่ำเสียงดนตรีประกอบจนลำโพงแทบถล่มเพื่อหลอกคนดูให้สะดุ้ง (และนึกด่าแม่คนทำหนังอยู่ในใจ) อารมณ์ชวนสะพรึงสามารถสร้างสรรค์ขึ้นได้ผ่านเทคนิคภาพยนตร์อันเรียบง่าย ลุ่มลึก ตลอดจนการแสดงอันแนบเนียน เป็นธรรมชาติ ไม่เชื่อให้คุณลองหาหนังเรื่อง Pulse (หรือ Kairo) ของ คิโยชิ คูโรซาว่า มาดู แต่ขอแนะนำว่าอย่าเปิดมันดูคนเดียวในห้องมืดๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อย่าเปิดมันดูผ่านจอคอมพิวเตอร์อย่างเด็ดขาด!?! โดยส่วนตัวแล้ว นี่เป็นหนังสยองขวัญเรื่องสุดท้ายที่เล่นเอาผมต้องนอนฝันร้ายอยู่หลายคืน และขณะนั่งชมในโรงภาพยนตร์ ก็ร่ำๆ อยากจะเดินออกเสียให้ได้ เพราะทนความกดดันไม่ไหว (โชคดีที่หนังช่วงครึ่งหลังลดทอนความสั่นประสาทลงไปมาก) ถึงแม้เสียงกรี๊ดเป็นระยะจากคนดูที่นั่งห่างออกไปไม่มากจะช่วยตอกย้ำอยู่กลายๆ ว่าผมไม่ได้กำลังกลัวจนขี้ขึ้นสมองอยู่คนเดียว ฉาก “ปิดไฟเปิดไฟ” ในช่วงต้นเรื่องไม่เหมาะสำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์ คนขวัญอ่อน และผู้ป่วยโรคหัวใจเป็นอย่างยิ่ง

เนื้อเรื่องคร่าวๆ ของหนังเล่าถึงการฆ่าตัวตายที่เริ่มแพร่ระบาดไปทั่วเกาะญี่ปุ่นดุจโรคติดต่ออันตราย โดยมีพาหะเป็นเทคโนโลยีอันทันสมัยอย่างคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ท และโทรศัพท์มือถือ ทฤษฎีหลากหลายเริ่มถูกนำเสนออย่างต่อเนื่อง แต่พวกมันกลับไม่อาจให้คำตอบที่น่าพอใจได้ ความยอดเยี่ยมของหนังเรื่องนี้อยู่ตรงที่มันหาได้มุ่งหวังจะหลอกคนดูให้ขนหัวลุกเท่านั้น แต่ยังพุ่งเป้าวิพากษ์วิถีชีวิตร่วมสมัย ที่แบ่งแยกผู้คนให้โดดเดี่ยว ไร้การเชื่อมโยงอีกด้วย หลายคนเลือกจะหลีกหนีความเจ็บปวดด้วยความตาย แต่พวกเขาสามารถแน่ใจได้อย่างไรว่าชีวิตหลังความตายจะไม่โดดเดี่ยวและโหดเหี้ยมยิ่งกว่า… บางทีเชื้อโรคที่ร้ายกาจที่สุดอาจไม่ใช่ไวรัส ซึ่งบั่นทอนภูมิคุ้มกัน หรือทำลายอวัยวะในร่างกายมนุษย์ แต่เป็นบางอย่างที่มองไม่เห็นซึ่งกำลังกัดกินจิตวิญญาณของเราต่างหาก

2 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เคยดูเมื่อนานมาแล้วคับ
จำได้แม่นยำอยู่ฉากหนึ่งคือฉากที่เพื่อนของพระเอกหรือนางเอก นั่งอยู่ข้างนอก ภายใต้ผ้าม่านเบาหวิว โดยพระเอกหรือนางเอก กำลังเข้าไปหา...

แต่สิ่งที่จำได้แม่นมากกว่าคือ ครึ่งหลังของเรื่อง มันอะไรกัน(ว่ะ!)เนี่ยะ???

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

หนังที่เราว่าน่ากลัวที่สุดในชีวิตอ่ะ

อยากดุในโรงอีกรอบจัง