วันอาทิตย์, ตุลาคม 19, 2551

ขอ “กอด” อีกที


ผมชอบ “กอด” ตั้งแต่การชมครั้งแรกในโรงภาพยนตร์ แม้ตอนนั้นจะรู้สึกนิดหน่อยว่าหนังค่อนข้างเอื่อยเฉื่อยและน่าเบื่อไปนิด อย่างไรก็ตาม บางสิ่งบางอย่างติดค้างในความรู้สึก จนทำให้ผมต้องตัดสินใจหาหนังมาดูอีกรอบเมื่ออาทิตย์ก่อน น่าประหลาดตรงที่ การดูซ้ำกลับไม่ทำให้ผมรู้สึกว่าหนังเอื่อยเฉื่อย หรือน่าเบื่อมากไปกว่าครั้งแรก (แต่มันยังคงไม่ถึงกับ “สนุก” ในความคิดของผมอยู่ดี ซึ่งหาใช่เรื่องสลักสำคัญแต่อย่างใด เพราะผมก็ไม่เคยคิดว่า Citizen Kane เป็นหนัง “สนุก” เหมือนกัน) ทั้งนี้คงเพราะ “กอด” ปราศจากพล็อตจำพวก “ห้ามสปอย” ประเภทพอรู้แล้ว ความน่าตื่นเต้นของหนังก็พลันลดฮวบลงเกินครึ่ง

ตรงกันข้าม มันออกจะเป็นหนังตามสูตร ทำนองชายหนุ่มพบหญิงสาว ทั้งสองตกหลุมรักกัน เขาต้องสูญเสียเธอไปชั่วขณะ ก่อนสุดท้ายจะได้ตัวเธอกลับมา แล้วก็ครองรักกันอย่างมีความสุข ผสมผสานความเป็น road movie เข้ากับความเป็นตลกโรแมนติกได้อย่างกลมกลืน

ตอนทราบข่าวเกี่ยวกับ “กอด” เป็นครั้งแรก ผมไม่นึกอยากดูหนังเอาเสียเลย หนึ่ง คือ ไม่ค่อยชอบหน้าพระเอก (เขาไม่ได้ทำผิดอะไร เป็นอคติส่วนตัวล้วนๆ) สอง คือ ผมรู้สึกว่าไอเดียเกี่ยวกับชายสามแขนในหนังแนวตลกโรแมนติก มันดูพิลึกพิลั่นและวิตถารเกินกว่าจะทำให้ “เวิร์ก” ได้ แต่สุดท้าย คงเดช จาตุรันต์รัศมี กลับทำสำเร็จอย่างงดงาม โดยกุญแจสำคัญคงอยู่ตรงที่เขาไม่ได้พยายามเน้นย้ำประเด็นสามแขนดังกล่าวให้เป็นมุกตลกเรียกเสียงฮา หรือใช้เป็นเครื่องมือบีบเค้นความรันทดตามสไตล์เมโลดราม่า

อารมณ์ขัน “แบบคงเดช” ก็มีส่วนช่วยสร้างความกลมกลืนเช่นกัน ผมไม่รู้จะอธิบายให้เห็นภาพได้ยังไง แต่คิดว่ามันค่อนข้างคล้ายคลึงกับอารมณ์ขันในหนังของผู้กำกับอย่าง เวส แอนเดอร์สัน (Rushmore, The Royal Tenenbaums) ทั้งทีเล่นทีจริงแบบหน้าตาย ทั้งบ้าบอคอแตกอย่างเหนือจริง แต่ก็แทรกกลิ่นอายแห่งความขมขื่น แสบสันต์เอาไว้ไม่น้อย

โดยส่วนตัว ผมเชื่อว่า “กอด” เป็นภาพยนตร์ที่ลงตัวที่สุดของคงเดช จริงอยู่ “สยิว” อาจดูสนุก หวือหวา แสดงให้เห็นความกล้าหาญในการพูดถึงประเด็นแปลกใหม่แบบที่พบเห็นไม่บ่อยนักในหนังไทย แต่การเล่าเรื่องยังคงขาดๆ เกินๆ เช่นเดียวกับการแสดงโดยรวม ส่วน “เฉิ่ม” ดูเหมือนจะสมบูรณ์ขึ้น สดใหม่ และท้าทาย แต่ดันมาตกม้าตายในตอนท้าย เมื่อหนังพยายามบีบเค้นอารมณ์จนเกินพอดี

“กอด” แทบจะเรียกได้ว่าเป็นหนังสูตรสำเร็จเมื่อเทียบกับผลงานทั้งสองเรื่องก่อนหน้า แต่มันกลับรักษาระดับของ “รสนิยมอันดี” เอาไว้ได้ตลอดทั้งเรื่อง ขณะเดียวกันตัวหนังเองก็ใช่จะปราศจากพลังดราม่า หรือแง่มุมเฉียบคมเสียทีเดียว ฉากเศร้าสุดของหนังหาได้อยู่ตรงการจากลาจากระหว่างคู่รัก หากแต่เป็นการสูญเสีย “ตัวตน” ของขวาน หลังเขาตัดสินใจที่จะเป็นเหมือน “คนอื่นๆ” ต่างหาก

ขวานตระหนักเมื่อสายว่าเขาไม่อาจเป็นเหมือนคนสองแขน เพราะเขาไม่ได้ถูกสร้างมาเช่นนั้น และการเปลี่ยนแปลงไม่เพียงจะทำให้ร่างกายของเขาเสียศูนย์จนเดินเซไปเซมาเท่านั้น หากแต่ยังทำให้เศษเสี้ยวทางจิตวิญญาณของเขาต้องพลอยสูญสลายไปด้วย เมื่อสิ่งที่เขามองว่าเป็น “ส่วนเกิน” นั้น ความจริง คือ “เอกสิทธิ์” ซึ่งมนุษย์ทุกคนพึงมี

ท่ามกลางกระแสความปรองดอง คลั่งชาติ คลั่งสถาบันต่างๆ นานา การสมานฉันท์แบบจอมปลอม เพื่อเรียกร้องให้มนุษย์คิดเหมือนกัน เข้าพวก เข้ากลุ่ม แล้วกีดกัน ไม่ยอมรับความแตกต่าง “กอด” คือ กระบอกเสียงของปัจเจกภาพ ที่ถูกทำร้าย กดดัน เฉือนทิ้ง หรือกระทั่งขุดหลุมฝัง

3 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เรามไ่ได้ชอบกอดมากเทาไร แต่เราคิดว่ามันโอเคทีเดียว

โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ ปิด.... 55555555

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

อยากดันเรื่องนี้แข่งกับ wonderful town จัง 55+

Riverdale กล่าวว่า...

น้อง nanoguy ครับ ส่วนตัวพี่ชอบมากกว่า wonderful town นะ แต่ไม่แน่ใจว่ามันดีกว่าไหม สาเหตุหนึ่งที่พี่ชอบเพราะไม่รู้สึกว่าหนังมันกระแดะจะเป็นหนังอาร์ตเลย ซึ่งความรู้สึกตรงนั้น พี่ไม่สามารถพูดได้กับ wonderful town 555+