วันศุกร์, มีนาคม 10, 2560

Oscar 2017: Actor in a Supporting Role


เจฟฟ์ บริดเจส (Hell or High Water)

เดอะ ดู๊ด เป็นตัวละครที่วิเศษสุด ผมไม่ถือถ้าคนส่วนใหญ่จะจำผมได้จากบทนั้น ไม่เสียใจเลยสักนิดเจฟฟ์ บริดเจส พูดถึง The Big Lebowski หนังคัลท์คลาสสิกของสองพี่น้องโคน ซึ่งทำเงินไม่เข้าเป้า และได้รับคำวิจารณ์ค่อนข้างก้ำกึ่ง ตอนออกฉายครั้งแรก แต่ต่อมากลับกลายเป็นหนังสุดฮิตที่ยุโรป ก่อนกระแสนิยมจะวกกลับมายังอเมริกา ทุกวันนี้ เดอะ ดู๊ด กลายเป็นหนึ่งในตัวละครคลาสสิกที่นักดูหนังส่วนใหญ่จดจำเวลาผมเปิดทีวีแล้วเจอหนังตัวเองกำลังฉาย ปกติผมจะดูแค่ฉากเดียวแล้วเปลี่ยนช่อง แต่ถ้าเป็น The Big Lebowski ผมอดไม่ได้ที่จะนั่งดูจนจบ แต่ละฉากมันสุดยอดจริงๆ นักแสดงทุกคนยอดเยี่ยม ฉาก จอห์น เทอร์เทอร์โร โยนโบวลิ่งนี่สุดติ่ง เขาน่าอัศจรรย์ใจมาก

อย่างไรก็ตามในตอนนั้น บริดเจสกังวลอยู่เหมือนกันว่าจะถูกจดจำเป็น เดอะ ดู๊ด ไปตลอดกาล เพราะเขาเป็นตัวละครที่เปี่ยมเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่เหมือนใคร คงเป็นเรื่องยากในการสลัดภาพลักษณ์ดังกล่าวออก ด้วยเหตุนี้ผมถึงต้องพยายามเปลี่ยนตัวเองไปเรื่อยๆ ผมดีใจมากที่ได้เล่น The Contender หลัง The Big Lebowski เพราะในเรื่องใหม่ผมรับบทเป็นประธานาธิบดีสหรัฐซึ่งทำให้บริดเจสได้เข้าชิงออสการ์เป็นครั้งที่ 4 ในสาขานักแสดงสมทบชาย ก่อนเขาจะคว้าออสการ์มาครองในที่สุดจากการเข้าชิงครั้งถัดมาในสาขานักแสดงนำชายกับบทมือกีตาร์ขี้เมาใน Crazy Heart น่าประหลาดตรงที่บท เดอะ ดู๊ด ซึ่งผู้คนจดจำเขาได้มากที่สุด และบริดเจสก็สวมวิญญาณเล่นได้น่าเชื่อถือจนกลายเป็นภาพจำ ออสการ์กลับไม่เหลียวแล... บางทีจังหวะเวลาก็เป็นเรื่องน่าตลก

ในการเข้าชิงออสการ์ครั้งที่ 7 บริดเจสรับบทเป็นตำรวจเท็กซัสที่จริงจังกับงานและพยายามตามล่าสองโจรปล้นธนาคารมาลงโทษตามกฎหมาย แต่ในเวลาเดียวกันอารมณ์ขันแสบๆ คันๆ ระหว่างเขากับเพื่อนตำรวจคู่หูก็เป็นสิ่งบริดเจสถนัด แม้ส่วนใหญ่เขามักจะได้เข้าชิงออสการ์จากบทหนักหน่วงมากกว่าบทเบาสมอง ก่อนเปิดกล้องบริดเจสจะต้องไปเข้าคอร์สกับนายตำรวจเท็กซัสตัวจริง ซึ่งพาเขาสำรวจดูการทำงานในสถานที่จริง เราโชคดีมากที่ได้ วาควีน แจ๊คสัน มาคอยเป็นที่ปรึกษา น่าเศร้าที่เขาเพิ่งจากไปเมื่อปีก่อน เขาเป็นนายตำรวจที่มีเกียรติคุณยาวเหยียดนักแสดงวัย 67 ปีเล่า เขาบอกว่าเราว่าควรสวมเครื่องแบบอย่างไร ติดอาวุธอย่างไร และพูดคุยอย่างไร การมีเขาอยู่ในกองถ่ายทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจ เขาเป็นคนให้ข้อมูลคนสำคัญของผม

เมื่อถูกถามว่าเขาคิดอย่างไรกับประเด็นการเมืองใน Hell or High Water เนื่องจากธนาคารในหนังเรื่องนี้เปรียบได้กับผู้ร้ายตัวจริง บริดเจสตอบว่า บทหนังดึงดูดความสนใจผมจากความคลุมเครือระหว่างคนดีกับคนร้าย เพราะแน่นอนการขโมยเป็นเรื่องผิด แต่มันถูกต้องหรือที่ธนาคารจะปล่อยกู้ให้กับคนที่พวกเขารู้ว่าไม่มีปัญญาผ่อนเขาหยุดพูดเพื่อหยิบเศษกระดาษออกจากกระเป๋า เขาอยากโควตผลงานของนักเขียนชาวรัสเซีย อเล็กซานเดอร์ โซลเซนนิทซิน ซึ่งสะท้อนความคิดของเขาต่อหนังเรื่องนี้ได้ชัดเจนกว่า ข้อความ คือ ถ้ามันง่ายแบบนั้นก็ดีสิ ถ้าโลกนี้มีคนชั่วร้าย กำลังก่อความชั่วทั้งหลาย ที่เราต้องทำก็แค่แยกพวกเขาจากคนอื่นที่เหลือแล้วกำจัดทิ้งให้หมด แต่เส้นแบ่งระหว่างดีกับเลวอยู่ในหัวใจมนุษย์ทุกคน แล้วใครกันที่อยากจะทำลายส่วนหนึ่งของหัวใจตนเองจากนั้นเขาก็เสริมต่อว่า เราจำเป็นต้องลดการแบ่งแยกขาวกับดำ เพราะทุกคนต่างมีทั้งสองด้านอยู่ในตัว

เชื่อหรือไม่ว่าบริดเจสเริ่มต้นอาชีพนักแสดงตั้งแต่อายุ 6 เดือนในหนังเรื่อง The Company She Keeps เมื่อปี 1951 พ่อแม่เขา โดโรธี กับ ลอยด์ บริดเจส แวะไปเยี่ยมเพื่อน จอห์น ครอมเวล ในกองถ่าย ตอนนั้น เจน เกรียร์ กำลังเข้าฉาก และพวกเขาอยากได้เด็กทารกให้เธออุ้ม แม่เขาเลยพูดขึ้นว่า เอาลูกฉันสิตามบทแล้วเด็กทารกจะต้องร้องไห้ แต่บริดเจสน้อยกลับอารมณ์ดีเป็นพิเศษในวันนั้น ทำยังไงก็ไม่ยอมร้อง แม่เขาเลยบอกเกรียร์ว่า หยิกเขาเลยก็ได้ซึ่งปรากฏว่าได้ผล 33 ปีต่อมา ผมได้เล่นหนังกับ เจน เกรียร์ เรื่อง Against All Odds ตอนเข้าฉากผมเลยหยอกเธอว่า เจน ผมเล่นอารมณ์ฉากนี้ไม่ได้คุณช่วยหยิกผมหน่อยได้มั้ยบริดเจสเล่าพร้อมกับยิ้มกริ่ม

ลอยด์แตกต่างจากคุณพ่อดาราทั่วไปตรงที่เขาสนับสนุนและผลักดันให้ลูกเข้าสู่วงการบันเทิง พาลูกไปเข้าฉากในซีรีส์ทีวีชื่อดัง Sea Hunt ซึ่งเขานำแสดง ซ้อมอ่านบทกับลูกบนเตียง พ่อสอนผมทุกอย่างเกี่ยวกับพื้นฐานการแสดงบริดเจสรำลึกความหลัง ความสำคัญของการรับฟังคนอื่นที่ร่วมแสดงในฉาก ทำอย่างไรให้ตัวเองรู้สึกเหมือนเหตุการณ์เพิ่งจะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก พูดบทเดิมๆ อย่างไรให้แตกต่าง มันเหมือนผมได้เข้าชั้นเรียนการแสดงที่บ้านต่อมาบริดเจสวัยหนุ่มก็ได้แสดงหนังร่วมกับพ่อเขาสองครั้งใน Tucker: The Man and His Dream และ Blown Away โดยเรื่องหลังบทบาทได้ถูกสลับกัน เพราะคราวนี้เป็น เจฟฟ์ บริดเจส ที่เสนอให้พ่อเขามารับบทในหนังที่ตัวเองนำแสดง

เมื่อมองย้อนกลับไปยังช่วงเริ่มต้น ตอนที่เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์เป็นครั้งแรกจาก The Last Picture Show (1971) ขณะอายุได้ 20 ปี บริดเจสบอกว่าอย่างหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง และคงอยู่เรื่อยมาตลอดเวลาหลายสิบปี คือ มิตรภาพระหว่างเขากับสแตนด์อินคนหนึ่ง ซึ่งมีหน้าที่คอยยืนเป็นตัวแทนดารา เวลาทีมงานต้องเช็คแสง หรือวางมุมกล้องก่อนถ่ายทำจริง เขาชื่อ ลอยด์ แคทเล็ตต์ เป็นเด็กหนุ่มวัย 16 ปีจากเมือง อาร์เชอร์ ซิตี้ รัฐเท็กซัส ตอนได้ร่วมงานกับบริดเจสครั้งแรกในหนังขาวดำสุดคลาสสิกของ ปีเตอร์ บ็อกดาโนวิช ความบังเอิญอยู่ตรงที่ในหนังเรื่องล่าสุด Hell or High Water ธนาคารแรกที่ถูกโจรบุกปล้นตั้งอยู่ในเมือง อาร์เชอร์ ซิตี้ ตอนนั้นลอยด์ถูกจ้างมารับบทเล็กๆ ในหนัง แล้วก็คอยสอนพวกเรา ซึ่งเป็นเด็กแคลิฟอร์เนีย ให้ดูเป็นเด็กเท็กซัสบริดเจสเล่า ผมอาจถือครองสถิติความสัมพันธ์กับสแตนด์อินที่ยาวนานที่สุด เราถ่ายหนังด้วยกันมา 70 เรื่องแล้ว เขาเป็นเพื่อนรักคนหนึ่งของผม เราได้แบ่งปันประสบการณ์มากมายร่วมกัน ปกติผมจะถ่ายหนังปีละเรื่องถึงสองเรื่อง ฉะนั้นเราจึงได้มีเวลาอยู่ด้วยกันบ่อยๆ”    


ไมเคิล แชนนอน (Nocturnal Animals)

คนส่วนใหญ่อาจเคยได้ยินชื่อ ไมเคิล แชนนอน เป็นครั้งแรกจากการรับบท จอห์น กิฟวิงส์ หมาบ้าที่ไล่ทำร้ายคนด้วยคำพูดแสบสันต์ในหนังเรื่อง Revolutionary Road ของ แซม เมนเดส ซึ่งทำให้เขาถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม แต่ความจริงแชนนอนเล่นหนัง เล่นทีวีซีรีส์มาเกือบ 25 ปีแล้ว เขาร่วมแสดงในผลงานที่ผู้คนอาจนึกไม่ถึง เช่น Pearl Harbor และ Bad Boys 2 ได้ทำงานกับผู้กำกับชั้นนำอย่าง คาเมรอน โครว (Vanilla Sky) โอลิเวอร์ สโตน (World Trade Center) และ เคอร์ติส แฮนสัน (8 Mile, Lucky You) แต่ผู้กำกับที่เขารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณมากที่สุดคงหนีไม่พ้น ลี แดเนียลส์ ซึ่งโด่งดังจากหนังออสการ์อย่าง Precious หนังหลุดออสการ์อย่าง The Butler และสร้างซีรีส์สุดฮิตช่องฟ็อกซ์เรื่อง Empire เพราะก่อนจะผันตัวมาเป็นผู้กำกับ แดเนียลส์เคยทำงานเป็นผู้จัดการดารา เขาเห็นแชนนอนรับบทพ่อค้ายาในละครเวทีเรื่อง Killer Joe เมื่อปี 1998 ซึ่งเป็นงานแสดงแบบได้ค่าจ้างครั้งแรกของแชนนอนในนิวยอร์ก และถูกอกถูกใจในฝีมือการแสดง

ลีโทรหาผมหลังได้ดู Killer Joe บอกว่า ฉันหางานให้นายได้แชนนอนเล่า เขาโทรหาคนคัดเลือกนักแสดง จากนั้นก็บอกให้ผมไปทดสอบบท ฉันเพิ่งหางานให้นายได้เขาโทรมาบอก อย่าลืมไปตามนัด’ ” หนังที่เขาไปทดสอบบทคือเรื่อง Jesus’ Son

แชนนอนสร้างชื่อจากการรับบทตัวละครมีปม หรือฉายพลังคุกคาม น่าหวาดหวั่น ไม่ว่าจะเป็นอดีตทหารผ่านศึกใน Bug นายหน้าใจโหดใน 99 Homes หรือชายสติไม่ดีใน Revolutionary Road รวมไปถึงบทเจ้าหน้าที่รัฐคลั่งศาสนาในซีรีส์มาเฟียเรื่อง Boardwalk Empire ของช่องเอชบีโอ ล่าสุดเขาถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์อีกครั้งจากผลงานกำกับของ จอห์น ฟอร์ด เรื่อง Nocturnal Animals รับบทเป็น บ็อบบี้ แอนเดส ตำรวจเท็กซัสที่ช่วยเหลือ โทนี แฮสติงส์ (เจค จิลเลนฮาล) ตามล่ากลุ่มคนร้ายที่รุมฆ่าข่มขืนเมียกับลูกสาววัยรุ่นของเขา โดยเทคนิคแล้วเรื่องราวของทั้งสองเป็นนิยายที่ซ้อนอยู่ในหนังอีกทอดหนึ่ง เขียนโดย เอ็ดเวิร์ด เชฟฟิลด์ (จิลเลนฮาล) เขาส่งหนังสือมาให้อดีตภรรยา ซูซาน มอร์โรว์ (เอมี อดัมส์) อ่าน และในระหว่างที่อ่านเรื่องราวของโทนีกับนายตำรวจ ซูซานก็เริ่มหวนรำลึกถึงชีวิตรักระหว่างเธอกับเอ็ดเวิร์ดซึ่งจบลงด้วยความหายนะ

บ็อบบี้เป็นบทที่แทบจะเขียนขึ้นมาเพื่อแชนนอนโดยเฉพาะ โดยอาจผสมแง่มุมอบอุ่นกว่าตัวละครอื่นๆ ที่เขาเคยเล่นมาเพิ่มเข้าไป ไม่มีใครเหมาะกับบทนี้เท่าเขาอีกแล้วฟอร์ดกล่าว ไมเคิลเป็นนักแสดงชั้นยอด เขาเล่นเป็นตัวละครได้หลากหลาย เขาเป็นคาวบอยบนซองบุหรี่มาร์ลโบโร เป็น แกรี คูเปอร์ ใน High Noon เป็นเหมือนตัวละครต้นแบบที่ปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์แชนนอนกล่าวเสริมถึงนายตำรวจมือเก๋าที่ยังพอจะมีมโนธรรมหลงเหลืออยู่ว่า บ็อบบี้มองผ่านขั้นตอน ช่องโหว่ทางกฎหมายไปถึงความจริง เขาผ่านคดีโหดๆ มาแล้วมากมาย แต่นี่เป็นคดีที่เขามุ่งมั่นอยากเห็นความยุติธรรมบังเกิดเนื่องจากบ็อบบี้เป็นตัวละครในนิยาย แชนนอนจึงไม่ได้คำนึงถึงความสมจริงเป็นหลัก ผมได้แรงบันดาลใจจากนิยายอาชญากรรม ซึ่งผมเป็นแฟนตัวยง แล้วผสมเข้ากับจินตนาการ ผมไม่ได้ไปสัมภาษณ์ตำรวจเท็กซัสตัวจริง แล้วขอตามไปดูวิธีการทำงานของเขาหรืออะไรแบบนั้น

ไม่ว่าตัวละครเหล่านั้นจะมีบุคลิกนิสัยแปลกพิกล หรือชั่วช้าสามานย์แค่ไหน สิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือ ทุกคนล้วนมีเลือดเนื้อความเป็นมนุษย์เมื่ออยู่ในความดูแลของแชนนอน แม้บ็อบบี้จะค่อนข้างตรงข้ามกับริค นายหน้าไร้จรรยาบรรณ ใน 99 Homes แต่ในสายตาของนักแสดงหนุ่มวัย 42 ปี คนหลังก็หาใช่ปีศาจร้ายแต่อย่างใด มันเป็นหน้าที่ของนักแสดงที่จะไม่ตัดสินผู้คน แต่พยายามทำความเข้าใจพวกเขา

ขั้นตอนเรียบง่ายของแชนนอนในการเข้าถึงจิตวิญญาณของบ็อบบี้ในแต่ละเช้า คือ การฟังเพลง แฮงค์ วิลเลียมส์ ตลอด 45 นาทีระหว่างขับรถไปกองถ่าย จริงอยู่ว่าฟอร์ดคาดหวังให้แชนนอนค้นหาทางเข้าถึงบทด้วยตัวเอง แต่ดาราหนุ่มบอกว่าตัวละครเริ่มเป็นรูปเป็นร่างในหัวเขา เมื่อฟอร์ดหยิบกรรไกรมาตัดผมให้เขา ไม่เคยมีผู้กำกับคนไหนทำแบบนี้มาก่อน ทอมรู้รายละเอียดเป๊ะๆ ว่าเขาต้องการอะไร หนังทั้งเรื่องอยู่ในหัวของเขาหมดแล้วขณะเดียวกันการได้เห็นขั้นตอนทำงานของแชนนอนก็ทำให้ฟอร์ดรู้สึกทึ่งไม่น้อย ไมเคิลสามารถกลายร่างเป็นตัวละครได้อย่างสมบูรณ์แบบ เขามีสมาธิเป็นเลิศ บางครั้งก็ดูน่ากลัวไม่น้อยเวลาเขาคงบุคลิกตัวละครเอาไว้ตอนอยู่ในกองถ่าย

นับแต่ได้เข้าชิงออสการ์ครั้งแรก ไมเคิล แชนนอน ก็ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ในปี 2016 เขามีผลงานออกฉายมากถึง 10 เรื่อง นอกจาก Nocturnal Animals แล้ว ไฮไลท์สำคัญยังได้แก่ การสวมบทราชาเพลงร็อกใน Elvis & Nixon จากนั้นก็ไปร่วมงานกับเพื่อนเก่าและผู้กำกับขาประจำ เจฟฟ์ นิโคลส์ ในหนังสองเรื่อง คือ Midnight Special และ Loving รับบทแฟนหนุ่มเจ้าอารมณ์ในหนังโรแมนติกฟิล์มนัวร์ Frank & Lola เมื่อถูกถามว่าทำไมนักแสดงมากประสบการณ์อย่างเขาถึงชอบเสี่ยงทำงานกับผู้กำกับหน้าใหม่อย่าง แม็ทธิว รอส (Frank & Lola) หรือนิโคลส์ตอนทำหนังเรื่องแรก Shotgun Stories เมื่อปี 2007 แชนนอนอธิบายว่า มันน่าตื่นเต้นที่ได้ร่วมงานกับผู้กำกับในช่วงที่เขาเริ่มต้นอาชีพ ผมเคยมีโอกาสได้ร่วมงานกับอัจฉริยภาพอย่าง มาร์ติน สกอร์เซซี ในช่วงบั้นปลายอาชีพ แต่ผมสงสัยมาตลอดว่าจะเป็นยังไงถ้าได้ร่วมงานกับเขาตอนทำ Taxi Driver หรือ เวอร์เนอร์ แฮร์ซ็อก ตอนทำ Fitzcarraldoจากนั้นเขาก็สรุปตบท้ายว่า คุณต้องให้โอกาสคน เพราะผมก็เคยได้รับโอกาสแบบนั้นมาก่อน


มาเฮอร์ชาลา อาลี (Moonlight)

ชีวิตเต็มไปด้วยทางเลือก อาชีพนักแสดงก็เช่นกัน นั่นคือสัจธรรมที่ มาเฮอร์ชาลา อาลี รู้ซึ้งดีเมื่อเขาตัดสินใจบอกลาซีรีส์ทีวีสุดฮิตเรื่อง House of Cards “ผมตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างบุญคุณและการเติมเต็มนักแสดงซึ่งถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มมีจากการรับบท เรมี แดนตัน นักการเมืองจอมเจ้าเล่ห์ กล่าว ผมนึกขอบคุณที่ได้ทำงานนี้ แต่ผมไม่ได้รู้สึกเติมเต็มเดิมพันเมื่อปีก่อนให้ผลตอบแทนอย่างงดงามในทันที เมื่อเขาเดินหน้ากวาดรางวัลจากบทแจ้งเกิดในหนังขวัญใจนักวิจารณ์เรื่อง Moonlight

เส้นทางสู่ความดังของอาลีไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลจากการทำงานหนักและอดทนต่อสู้ตลอด 20 ปี เขาโตมาในเมืองโอ๊คแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย เข้าเรียนมหาวิทยาลัย เซนต์ แมรี และเป็นนักบาสเกตบอลระดับวิทยาลัยเพียงคนเดียวที่เข้าประกวดการอ่านบทกวี เขาค้นพบความรักในละครเวทีจากการเล่นละครมหาวิทยาลัยสองเรื่อง และหลังจากเรียนจบโปรแกรมการแสดงของ N.Y.U. เขาก็ได้งานเป็น ดร. เทรย์ แซนเดอร์ส ในซีรีย์ Crossing Jordan ทั้งหมด 19 ตอน ผมก็แค่เล่นเป็นตัวละครคนดำนักแสดงวัย 42 ปีพูดอย่างตรงไปตรงมา เหมือนพวกเขาแค่อยากให้มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ และถ้าคุณมีหน้าที่แค่นั้น พวกเขาก็ไม่มีวันเขียนบทดีๆ ให้คุณเล่น

อาลีเริ่มหันไปเอาดีทางการแสดงละครเวที (Smart People) พร้อมกับรับบทสมทบในซีรีส์เรื่องอื่นๆ (Alphas) จุดพลิกผันสำคัญเริ่มต้นเมื่อ เดวิด ฟินเชอร์ เลือกเขามาเล่น The Curious Case of Benjamin Button ซึ่งนำพาไปสู่หนังชุด The Hunger Games และซีรีส์ House of Cards แต่ในเวลาเดียวกันการผูกมัดตัวเองกับซีรีส์ที่ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ทำให้เขาจำเป็นต้องปฏิเสธข้อเสนออื่นๆ ผมอยู่ในวงการมา 16 ปีแล้วเขากล่าว ผมอยากมีโอกาสรับบทนำกับเขาบ้างและทันทีที่อาลีตัดสินใจบอกลาซีรีส์ งานก็วิ่งเข้าหาแบบไม่หยุดหย่อนจนเขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเล่นเกมเตอร์ติส เมื่อปีก่อนเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม เขาต้องทำงานสัปดาห์ละเจ็ดวัน รับบทสี่ตัวละครในเมืองต่างๆ 4 เมือง ที่บัลติมอร์เขาปิดฉาก House of Cards ที่นิวยอร์กเขาได้ร่วมงานกับศิลปินอาวองการ์ดในโครงการหนังทดลองเรื่อง Future Relic ประกบ จูเลียต ลูอิส ที่ไมอามี เขาถ่ายหนังเรื่อง Moonlight แล้วใช้วันว่างที่เหลือในบรู้คลินรับบทวายร้ายในซีรีส์ของมาร์เวลเรื่อง Luke Cage “พูดตามตรงผมไม่อยากทำอะไรแบบนั้นอีกเขาสารภาพ ผมกลัวว่าตัวละครจะหลอมรวมกัน หรือให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเวอร์ชั่นที่แตกต่างของตัวละครเดียวกัน

แต่งานที่เขาให้ความสำคัญสูงสุด คือ Moonlight “มันเป็นโครงการที่กระทบใจผมโดยตรงมากกว่าโครงการอื่นๆอาลีกล่าว ผมคงไม่ตกลงรับเล่น Luke Cage ถ้ามันมาเบียดเวลาของ Moonlightหนังเล่าเรื่องการเติบใหญ่ของเด็กหนุ่มชาวแอฟริกัน-อเมริกันที่เป็นเกย์และยากจนข้นแค้นในไมอามีผ่านสามช่วงเวลาในชีวิต ในช่วงแรก อาลีรับบทฮวน พ่อค้ายาที่วันหนึ่งบังเอิญพบเจอเด็กน้อยหลบซ่อนตัวจากกลุ่มนักเลง มองในแวบแรก ฟันเคลือบทองและบุคลิกเยื้องย่างสามขุมทำให้ฮวนมีพลังคุกคาม น่าหวาดหวั่น แต่อาลีผสมความอ่อนโยนเข้าไปอย่างน่าประหลาด จนเขากลายเป็นเหมือนต้นแบบให้กับไชรอนเมื่อเขาเติบใหญ่ ใน Moonlight บ่อยครั้งอาลีจะเป็นนักแสดงมืออาชีพเพียงคนเดียวบนจอ แต่ความจริงใจ ความเป็นธรรมชาติ และความมีชีวิต เลือดเนื้อที่เขาแต่งเติมลงไปทำให้ตัวละครก้าวพ้นภาพลักษณ์เหมารวมที่คนดูคุ้นเคย เพื่อนผมคนหนึ่งชอบพูดว่าพ่อค้ายาผิวดำมักจะเป็นแค่พ่อค้ายาผิวดำ แต่ฮวนถูกสร้างขึ้นจากประสบการณ์จริงแบร์รี เจนกินส์ ผู้กำกับ Moonlight กล่าว เวลาฮวนอยู่ในฉากเดียวกับเด็กชาย สิ่งที่คนดูสามารถสัมผัสได้คือพวกเขาเป็นแค่มนุษย์สองคนที่มีชีวิตจิตใจ

เจเนล โมเน ซึ่งรับบทเป็นแฟนสาวของฮวน เห็นด้วยกับความคิดข้างต้น ในฐานะผู้หญิงแอฟริกัน-อเมริกัน ฉันภูมิใจที่ได้สนับสนุนเพื่อนชาวแอฟริกัน-อเมริกันในการผลักดันภาพลักษณ์ของผู้คนในชุมชนเราว่าเป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ ไม่ได้ถูกเหมารวม หรือเน้นย้ำแค่ความผิดพลาดของพวกเขา

นักแสดงวัย 42 ปีบอกว่าเขาตกหลุมรักบทนี้ตั้งแต่ได้อ่านบท ผมคิดว่าแบร์รีรักพวกเราในฐานะนักแสดง และเราทุกคนก็รักที่จะได้ร่วมงานกันเขากล่าว นั่นคือพื้นฐานของการสร้างหนังเรื่องนี้ ไม่มีใครกระโดดเข้ามาเพื่อเงิน และไม่มีเงินให้ใครกอบโกยด้วย เรามารวมตัวกันเพื่อสร้างงานศิลปะ แล้วแบ่งปันมันให้คนอื่นๆ จริงอยู่ผมภูมิใจกับ House of Cards และ Luke Cage พวกมันช่วยให้โครงการอย่าง Moonlight ถือกำเนิดขึ้นได้ แต่ผมเลือกเล่นหนังเรื่องนี้เพราะอยากทำจริงๆ เพราะผมหลงรักบทหนัง ผมรู้ตั้งแต่อ่านบทไปได้สองหน้าแล้วว่ามันต้องเป็นหนังที่สุดยอดแน่นอนนอกจากนี้ อาลียังบอกว่าบทใน Moonlight มีความจำเป็นต่อเขาในฐานะนักแสดงอีกด้วย บางอย่างเกี่ยวกับบทฮวนให้ความรู้สึกดีต่อจิตใจ ขณะที่บทคอตตอนเมาท์ใน Luke Cage เป็นเหมือนยาพิษ ผมต้องอาศัยฮวนเพื่อสร้างสมดุล เพราะใน Luke Cage ผมมักจะทำเรื่องบ้าคลั่ง เช่น ยิงเจาะกะโหลกคน หรือบิวด์อารมณ์ให้ขึ้นถึงจุดสูงสุดก่อนจะจับคนโยนลงจากหลังคา ผมซาบซึ้งที่ได้เล่นมันนะ อย่าเข้าใจผิด แต่ในฐานะนักแสดงถ้าคุณต้องสวมวิญญาณเป็นตัวละครแบบนี้ตลอด 16 ชั่วโมง มันให้ความรู้สึกหดหู่ต่อจิตใจ ขณะที่บทฮวนช่วยชุบชีวิตให้จิตใจ แม้เขาจะเป็นพ่อค้ายาก็เถอะ บางอย่างในตัวเขาให้ความรู้สึกอ่อนโยน งดงาม จนผมอยากจะอยู่กับตัวละครนี้นานๆ

ต้องขอบคุณเจนกินส์ที่ไม่สนใจจะบอกคนดูอย่างชัดเจนถึงเหตุผลว่าทำไมฮวนเปิดรับไชรอนมาอยู่ในความดูแล อาลีก็เช่นกัน มีหลายสิ่งหลายอย่างที่คนดูไม่รู้เกี่ยวกับฮวน แต่อาลีไม่เคยพยายามจะเติมเต็มช่องว่างเหล่านั้น หรือทดแทนด้วยการแสดงความรักอย่างออกนอกหน้า ซึ่งจะถือเป็นการทรยศต่อตัวละคร อันที่จริงต้องถือว่าการแสดงของอาลีกล้าหาญอย่างมากเนื่องจากเขาเก็บกดการแสดงอารมณ์เอาไว้ในแบบที่ฮวนน่าจะทำ รักษาแง่มุมความลึกลับของตัวละครเอาไว้ ซึ่งจะส่งผลอย่างยอดเยี่ยมในช่วงท้ายของหนัง เมื่อความทรงจำของชายหนุ่มพุ่งทะยานกลับมาดุจคลื่นลูกใหญ่ในมหาสมุทร หลังฮวนหมดบทบาทบนจอ คนดูต่างคิดถึงเขา ไม่ใช่แค่เพราะเราเป็นห่วงไชรอนเท่านั้น แต่เพราะยังมีอีกหลายสิ่งที่เราอยากรู้เกี่ยวกับตัวละครตัวนี้


เดฟ พาเทล (Lion)

เมื่อได้ข่าวว่าจะมีโครงการสร้างหนังเรื่อง Lion เดฟ พาเทล อยากได้บทนำถึงขนาดเดินทางไปอ้อนวอนนักเขียนบท ลุค เดวีส์ ถึงบ้านในลอสแอนเจลิสเมื่อปี 2013 เรื่องราวอันน่าอัศจรรย์และตัวละครที่เต็มไปด้วยปมขัดแย้งภายในคือสิ่งที่ดึงดูดพาเทลได้อยู่หมัด ตอนนั้นผู้กำกับ การ์ธ เดวิส ก็อยู่ที่นั่นด้วย ทั้งสามจึงได้มีโอกาสพูดคุยขณะจิบชาชิงไปพลาง แต่แล้วพาเทลก็สังเกตเห็นกระดานไวท์บอร์ดมีกระดาษโพสต์อิทแปะเต็มไปหมด เขาเดินไปอ่านข้อความ ผมพูดขึ้นว่า เดี๋ยวนะ คุณยังไม่ได้เขียนบทเหรอนักแสดงหนุ่มเล่า

ถึงบทจะยังไม่เสร็จ แต่บรรดาข้อความบนโพสต์อิทเหล่านั้นชวนติดตามจนพาเทลรู้สึกว่าเขาต้องเล่นหนังเรื่องนี้ให้ได้ มันดัดแปลงจากหนังสืออัตชีวประวัติขายดีของ ซารู เบรียร์ลีย์ เรื่อง A Long Way Home เล่าถึงเรื่องราวของเด็กชายวัย 5 ขวบชาวอินเดีย ที่เผลอหลับบนรถไฟจนพลัดหลงไปอยู่กรุงกัลกัตตา ห่างไกลจากบ้านหลายพันไมล์ และไม่สามารถบอกเจ้าหน้าที่ได้ว่าแม่ชื่ออะไร หรือเมืองบ้านเกิดชื่ออะไร สุดท้ายเขาจึงลงเอยด้วยการถูกครอบครัวชาวออสเตรเลียรับไปเลี้ยงดูเป็นลูกบุญธรรม ยี่สิบห้าปีต่อมา เบรียร์ลีย์กลับมาค้นหาครอบครัวเขาในอินเดียอีกครั้งโดยอาศัยกูเกิลเอิร์ธและความทรงจำอันพร่าเลือน ไม่ปะติดปะต่อ

แรกทีเดียวเดวิสไม่คิดว่าบทนี้เหมาะกับนักแสดงหนุ่มชาวอังกฤษสักเท่าไหร่ เหตุผลหนึ่ง คือ พาเทลผอมเกินกว่าจะรับบทเป็นนักกีฬาแบบเบรียร์ลีย์ นอกจากนี้พาเทล ซึ่งเกิดและเติบโตในลอนดอน ยังพูดสำเนียงอังกฤษ เขาฝึกพูดสำเนียงอินเดียในหนัง 5 เรื่องที่ผ่านมาเริ่มต้นจาก Slumdog Millionaire เมื่อปี 2008 แต่เขายังไม่เคยต้องฝึกพูดสำเนียงออสเตรเลียมาก่อน พูดง่ายๆ คือ เดวิสมองหานักแสดงที่แตกต่างจาก เดฟ พาเทล มารับบทเป็นซารู สไตล์การแสดงของเขาไม่ใช่ตัวเลือกในหัวผมผู้กำกับชาวออสซี่สรุป พาเทลจำเป็นต้องสู้เพื่อให้ได้บทนี้

ถ้าใครได้ชมหนังเรื่อง Lion จะเห็นว่าพาเทล ในสภาพหนวดเครารุงรัง ผมยาวหยักศก ช่างดูห่างไกลจากเด็กวัยรุ่นหน้าใสใน Slumdog Millionaire หนังที่คว้ารางวัลออสการ์มากถึง 8 รางวัลรวมถึงภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และเปลี่ยนความคิดของพาเทลต่อประเทศอินเดียจากหน้ามือเป็นหลังมือ ที่โรงเรียนในลอนดอน เขาจำได้ว่า เด็กหลายคนโดนกลั่นแกล้ง ผมต้องปิดบังรากเหง้าของตัวเองเพื่อไม่ให้กลายเป็นเหยื่อแต่พอได้เดินทางไปอินเดีย ประสบการณ์ดังกล่าวเปลี่ยนเขาเป็นคนละคน เราได้ไปเยี่ยมสถานที่ซึ่งน่าทึ่งมากมาย สถานที่ซึ่งคุณจะไม่พบเห็นในแพ็คเกตท่องเที่ยว มันทำให้ภาพความคิดตื้นๆ ในหัวผมมลายหายไปหมดเขาเล่า ผมตกหลุมรักเพื่อนร่วมแสดงในหนังที่นั่น (ฟรีดา พินโต) ทุกคนที่ผมเจอฟังเพลงของ เลด เซปปลิน

การถ่ายทำอาจเปลี่ยนแปลงชีวิตเขา แต่ความสำเร็จของหนังดูจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอาชีพนักแสดงของเขามากนักในแง่ข้อเสนอจากฮอลลีวู้ด ไม่มีใครเลือกผมไปแสดงหนังหลัง Slumdogเขาสารภาพ แถมบางครั้งความสำเร็จของมันยังปิดกั้นโอกาสเขาอีกด้วย เขาไม่ได้รับอนุญาตให้ไปทดสอบบทตัวละครเอกชาวเอเชียใน Life of Pi หนังแฟนตาซีผจญภัยของอังลี เพราะผู้กำกับเจ้าของสองรางวัลออสการ์เห็นว่าเขาดังเกินไป สุดท้าย สุราจ ชาร์มา จึงได้บทนี้ไปครอง เขาเล่นดีมาก ผมชอบหนังมาก แต่ใจหนึ่งก็อดคิดไม่ได้ว่าอย่างน้อยผมน่าจะได้โอกาสให้ไปทดสอบบทด้วยแรงคะยั้นคะยอของผู้อำนวยการสร้างและความรักต่อศิลปะป้องกันตัว (“ผมเป็นแฟนตัวยงของ บรูซ ลี”) เขาตอบตกลงเล่นหนังเรื่อง The Last Airbender ซึ่งล้มคว่ำไม่เป็นท่าทั้งในแง่การทำเงินและคำวิจารณ์ มันเป็นช่วงเวลาตกต่ำอย่างแท้จริง นั่นทำให้ผมได้เรียนรู้คุณค่าของการตอบปฏิเสธเขากล่าว

แต่โชคเริ่มเข้าข้างพาเทล เมื่อเขามีโอกาสได้ร่วมงานกับนักแสดงระดับสุดยอดหลายคน เช่น เจเรมี ไอรอนส์ ใน The Man Who Knew Infinity และ แม็กกี้ สมิธ กับ จูดี้ เดนช์ ใน The Best Exotic Marigold Hotel ทั้งสองภาค แม็กกี้ สมิธ อดทนกับผมมาก แต่เธอเป็นจอมขโมยซีนเขากล่าว เพราะต่อให้คุณมีบทพูดยิ่งใหญ่ ยืดยาวแค่ไหน ในตอนท้ายเมื่อเธอพูดแค่หนึ่งประโยคแล้วทำหน้าเหยียดๆ ซีนนั้นก็กลายเป็นของเธอไปโดยปริยาย

เพื่อให้ได้บทซารู พาเทลต้องทดสอบบทกับผู้กำกับนาน 6 ชั่วโมง ก่อนจะจบลงด้วยการขอให้เขาตะโกนสุดเสียงเหมือนกำลังเสียสติ คุณไม่จำเป็นต้องทำก็ได้นะถ้าไม่อยาก เขาบอก แต่ผมรู้ว่าถ้าไม่ทำ ผมชวดบทแน่ ผมเลยปล่อยแบบจัดเต็ม ตะโกนเหมือนคนบ้านอกจากนี้ เดวิสยังอยากให้เขาดูเหมือนซารูตัวจริงด้วย หลังจากเพิ่งรับบทเป็นนักคณิตศาสตร์ชาวอินเดียที่เจ็บป่วยจากการทนทุกข์ผ่านฤดูหนาวของประเทศอังกฤษใน The Man Who Knew Infinity พาเทลยอมรับว่ารูปร่างเขาตอนนั้นผอมแห้งเป็นตะเกียบ เขาต้องปรึกษาเรื่องเพิ่มน้ำหนักกับซารูตัวจริงเขาบอกผมว่าอยากตัวหนากว่านี้เบรียร์ลีย์เล่า และเขาก็ทำได้จริงๆ เขาดูบึกบึนมากเพื่อสัมผัสเชื่อมโยงกับตัวละคร พาเทลออกเดินทางโดยรถไฟไปทั่วอินเดีย (“ผมอยากเข้าใจความรู้สึกของการต้องอยู่บนรถไฟนานๆ”) และเยี่ยมเยียนบ้านเด็กกำพร้าหลายแห่ง

จากนั้นเขาก็ต้องทำงานร่วมกับครูฝึกนาน 8 เดือนเพื่อเลียนแบบสำเนียงออสเตรเลียของซารู ผมว่าทุกคนตะลึงกับสำเนียงของเขาเดวิสซึ่งเป็นคนออสเตรเลียกล่าว เขาพูดได้เหมือนเปี๊ยบ สำเนียงออสเตรเลียค่อนข้างพูดยาก มันไม่ค่อยเพราะและซับซ้อน แต่เขาฝึกฝนอย่างหนัก พาเทลเองยอมรับว่ามันยากกว่าตอนเขาเลียนแบบสำเนียงอินเดีย ซึ่ง ไม่แปลกลิ้นเท่าแต่นั่นก็ต้องอาศัยการฝึกฝนเช่นกัน

หลังจากหนังได้เสียงตอบรับอย่างอบอุ่นในโตรอนโต หลายคนพูดว่าพาเทลมีโอกาสเข้าชิงออสการ์ แต่นักแสดงหนุ่มกลับพยายามจะไม่คิดถึงมัน มันน่าปลาบปลื้มมาก แต่ผมไม่ได้มารับบทนี้เพื่อโอกาสจะได้เข้าชิงออสการ์ นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายในหัวผมเลย ตอนผมได้อ่านบทหนัง ผมร้องไห้แบบหยุดไม่ได้ ผมไม่อยากเชื่อว่านี่จะเป็นเรื่องจริง เราทุกคนมาจับมือร่วมกันเพราะเรารักตัวละครและเรื่องราวของพวกเขาแต่ไม่ว่าจะคิดหรือไม่ ออสการ์ก็แวะเวียนมาหาเขาจนได้


ลูคัส เฮดเจส (Manchester by the Sea)

ตอนเป็นเด็ก ลูคัส เฮดเจส ฝันอยากเป็นดาราฮอลลีวู้ด วาดภาพตัวเองทำภารกิจอย่าง ให้สัมภาษณ์นักข่าว ถ่ายรูปกับแฟนหนัง และคว้ารางวัลต่างๆ มาครอง ตอนนี้ความฝันทั้งหลายข้างต้นกลายเป็นจริงแล้ว บทวัยรุ่นทะลึ่งตึงตังที่ต้องรับมือกับการสูญเสียพ่อและถูกบีบให้ต้องมาอยู่ในความดูแลของน้าชาย (เคซีย์ อัฟเฟล็ค) ด้วยความไม่เต็มใจใน Manchester by the Sea ทำให้เขากวาดคำชมและคว้ารางวัลดาวรุ่งจาก NBR และ Critics Choice Awards นอกจากนั้นในปีนี้ เขายังมีหนังฟอร์มดีอีกสองเรื่องรอเข้าฉาย คือ Lady Bird งานกำกับชิ้นแรกของ เกรต้า เกอร์วิก ประกบคู่กับ เซอร์ชา โรแนน และ Three Billboards Outside Ebbing, Missouri ของ มาร์ติน แม็คโดนาห์ ประกบคู่ ฟรานเซส แม็คดอร์แมนด์ จากนั้นระหว่างพักการเรียนสาขาการละครที่มหาวิทยาลัย นอร์ธ แคโรไลนา ไว้หนึ่งปี เขาก็เปิดรับความท้าทายแนวใหม่ นั่นคือ เล่นละครเวทีเป็นครั้งแรกเรื่อง Yen ของ แอนนา จอร์แดน ซึ่งเปิดแสดงนอกบรอดเวย์ในช่วงกลางเดือนมกราคม

น่าตื่นเต้นดีที่ฝันคุณกลายเป็นจริงตอนอายุ 20เฮดเจสกล่าว “แต่ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าแล้วจากนี้ไปจะเป็นยังไงต่อแน่นอนเขาตระหนักดีถึงข้อเสียของการมีชื่อเสียงตั้งแต่ยังหนุ่มและความคาดหวังสูงลิ่วที่ตามมา “ผมได้ฟัง อีธาน ฮอว์ค ให้สัมภาษณ์เมื่อไม่นานมานี้ เขาเล่น Dead Poet Society ตอนอายุเท่าผม เขาบอกว่าหลังจากนั้นอาชีพนักแสดงของเขาก็พร้อมจะดิ่งลงได้ทุกเมื่อ

เนื่องจากเขาเป็นลูกชาย ปีเตอร์ เฮดเจส คนแต่งนิยายและบทหนังเรื่อง What’s Eating Gilbert Grape ก่อนจะผันตัวมากำกับหนังอย่าง Pieces of April กล่าวได้ว่าลูคัสถือกำเนิดโดยมีวงการบันเทิงอยู่ในสายเลือด เขาเริ่มอาชีพนักแสดงตั้งแต่อายุ 10 ขวบกับบทตัวประกอบในหนังพ่อเขาเรื่อง Dan in Real Life (“ผมมีบทพูดประโยคนึง แต่ถูกตัดออก”) แขกประจำที่แวะเวียนมาทานข้าวที่บ้านก็เช่น เอมี ไรอัน และ แพ็ทริเซีย คลาร์คสัน ส่วนครูคนสำคัญของเขา คือ แมรี-หลุยส์ พาร์คเกอร์ เพื่อนสนิทพ่อเขา (ทั้งสองร่วมก่อตั้งคณะละครในยุค 80) เธอช่วยเด็กหนุ่มเตรียมพร้อมสำหรับการทดสอบบท และคอยให้คำแนะนำเมื่อต้องถ่ายทำฉากสำคัญใน Manchester by the Sea

เฮดเจสยังจำได้แม่นถึงประสบการณ์ที่ไม่ค่อยน่ารื่นรมย์ตอนอยู่ ป.และต้องเล่นเป็นพัคในละครโรงเรียนเรื่อง A Midsummer Night’s Dream “ผมได้แต่ท่องบทแล้วก็จิกนิ้วเท้าตลอดเวลา หน้าผมแดงก่ำด้วยความประหม่าตอน ม.เขาไปทดสอบบทละครโรงเรียนเรื่อง Nicholas Nickleby ของ ชาร์ลส์ ดิกเกนส์ และได้รับเลือก แต่เขาตัดสินใจว่าตัวเองคงเล่นไม่ได้เนื่องจากอาการตื่นเวที “ผมวิ่งออกจากโรงละครไปกอดแม่แล้วร้องไห้ใหญ่ แม่พาผมเดินไปรอบๆ แล้วพูดว่า ลูกไม่ต้องเล่นก็ได้ถ้าไม่อยาก แต่ลองเก็บไปคิดสักคืนก่อนนะคืนนั้นเขาเปลี่ยนใจ

ด้วยความเป็นคนอ่อนไหว ลุ่มลึก และแฟนพันธุ์แท้ของหนังสือชุด Harry Potter มองเผินๆ แล้วเฮดเจสแทบไม่มีอะไรเหมือนตัวละครอย่างแพ็ทริค นักดนตรีที่คบหญิงสองคนพร้อมกัน ใน Manchester by the Sea “เขามีความมั่นใจแบบหนุ่มอเมริกันจ๋าซึ่งผมไม่เคยมี ผมเป็นพวกที่ชอบตั้งคำถามกับตัวเอง แพ็ทริคก็อาจจะมีแง่มุมนั้นอยู่บ้าง แต่บุคลิกภายนอกของเขาดูมั่นใจและขี้เล่น” 

สำหรับเฮดเจส แพ็ทริคคือตัวละครที่จำเป็นต่อหนัง เพราะขณะที่พวกผู้ใหญ่ในเรื่องอยู่ในสภาพหดหู่ หัวใจสลาย ยึดติดกับอดีต แพ็ทริคเป็นตัวละครที่เต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา กระฉับกระเฉง และมองไปถึงอนาคตเบื้องหน้า “ถ้าไม่มีเขา หนังคงสลดหดหู่มากอย่างไรก็ตาม แม้จะมีบุคลิกแตกต่างจากตัวละคร เฮดเจสสนใจบทนี้จากฉากที่แพ็ทริคสลัดทิ้งเปลือกภายนอก แล้วเปิดเผยอารมณ์ลึกๆ ภายในออกมา “นาทีนั้นเองผมตระหนักว่าแท้จริงแล้วเขาต้องการแค่ให้คนมารัก สิ่งที่เกิดขึ้นกับแพ็ทริค ผมเคยผ่านมาแล้ว แม้จะไม่รุนแรงเท่าเฮดเจสอธิบาย “ผมเข้าใจความรู้สึกว่าไม่มีใครรัก และจำเป็นต้องทำสิ่งต่างๆ เพื่อให้ตัวเองปลอดภัย ไม่ตื่นตระหนก

โลเนอร์แกนชื่นชมเฮดเจสที่ถ่ายทอดแง่มุมอ่อนไหวของตัวละครได้ลุ่มลึก เขาบอกว่าตัวจริงของเฮดเจสมีชีวิตชีวา เปี่ยมพลังงาน และเข้ากับคนได้ง่ายไม่ต่างจากแพ็ทริค แต่เขายังเพิ่มความลึกในส่วนของการค้นหาตัวเองเข้าไปด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่โลเนอร์แกนต้องการ (พ่อแม่เฮดเจสบอกว่าลูคัสเคยเจอโลเนอร์แกนมาก่อนตอนยังเป็นแค่เด็กแบเบาะ) “ลูคัสเป็นคนที่รอบคอบ ลุ่มลึก คิดทบทวนหลายตลบว่าทำอะไรอยู่ และสิ่งนั้นถูกต้องหรือเปล่า ผมว่าแพ็ทริคไม่ได้ละเอียดอ่อนแบบนั้นโลเนอร์แกนให้สัมภาษณ์ “แต่การที่ลูคัสเป็นคนแบบนั้นช่วยยกระดับตัวละครขึ้นไปอีกขั้น มอบความลึกให้แพ็ทริค แง่มุมภายในที่ผมคาดไม่ถึงตอนเขียนบทหนังเรื่องนี้

ในละครเรื่อง Yen เฮดเจสรับบทเด็กหนุ่มวัย 16 ปีที่ต้องอาศัยอยู่ในแฟลตซอมซ่อกับน้องชายตามลำพัง ขณะที่แม่ขี้เหล้าของพวกเขาหายตัวไปหลายสัปดาห์ สองพี่น้องแบ่งปันอาหารขยะที่เหลือค้างในตู้เย็น เล่นวิดีโอเกม และโหลดหนังโป๊มาดูไปพลางโดยแทบจะไม่ย่างก้าวออกจากห้อง เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับบทนี้ เฮดเจสและนักแสดงที่รับบทน้องชายเขา จัสติซ สมิธ เดินทางไปยังชานเมืองลอนดอนเพื่อเยี่ยมคนเขียนบทละคร แอนนา จอร์แดน สำรวจสภาพแวดล้อมที่เป็นแรงบันดาลใจของเรื่องราว และพูดคุยกับเด็กวัยรุ่นแถวนั้น

ผมคิดว่าถ้าคุณดึงแค่ฉากใดฉากหนึ่งของบทละครออกมาวิเคราะห์แยกส่วน คุณอาจรู้สึกรังเกียจตัวละครบางตัวเขากล่าว “แต่ถ้ามองภาพรวมของละครทั้งเรื่อง ก็ยากที่คุณจะไม่รู้สึกว่าพวกเขาเป็นมนุษย์ มีเลือดเนื้อ และโหยหาความรักไม่ต่างจากคนอื่นๆ” เฮดเจสบอกว่าเขาดีใจที่มี Yen มาดึงความสนใจตลอดช่วงเทศกาลล่ารางวัล เพราะเขาไม่อยากกดดันตัวเองเกินจำเป็น “ผมต้องเตือนตัวเองว่าเราเป็นแค่มือใหม่ พยายามคิดในหัวอยู่ตลอดว่า นี่เป็นละครเรื่องแรกของเรา และไม่เผลอคิดว่า ฉันรู้ว่าฉันทำอะไรอยู่ เพราะในความเป็นจริง ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่การหลุดเข้าชิงรางวัลออสการ์ขณะอายุเพียง 20 ปี (เขาเป็นผู้เข้าชิงที่อายุน้อยที่สุดในสาขาการแสดง) ถือว่าไม่เลวทีเดียวสำหรับนักแสดงมือใหม่ที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่

ไม่มีความคิดเห็น: