วันศุกร์, มีนาคม 10, 2560

Oscar 2017: Actress in a Supporting Role


ไวโอลา เดวิส (Fences)
               
เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2009 เมอรีล สตรีพ ก้าวขึ้นรับรางวัลสมาพันธ์นักแสดงแห่งอเมริกา (SAG) สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจาก Doubt ที่ดัดแปลงจากบทละครชนะรางวัลพูลิทเซอร์ของ จอห์น แพ็ทริค แชนลีย์ เกี่ยวกับประเด็นล่วงละเมิดทางเพศ เชื้อชาติ และโบสถ์คาทอลิก เธอกล่าวขอบคุณเพื่อนนักแสดงในเรื่อง หนึ่งในนั้น คือ ไวโอลา เดวิส ผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์เป็นครั้งแรกจากบทแม่ของเด็กชายแอฟริกัน-อเมริกันที่ถูกกล่าวหาว่าโดนบาทหลวงล่วงละเมิดทางเพศ โดยสตรีพกล่าวชื่นชมเดวิสอย่างออกนอกหน้าว่าเป็นนักแสดงที่เปี่ยมพรสวรรค์เหลือล้น พร้อมกับสรุปตบท้าย “ให้ตายสิ ใครก็ได้ช่วยหาหนังให้เธอเล่นที

คนในฮอลลีวู้ดดูเหมือนจะรับฟัง เพราะนับจากนั้น เดวิส ซึ่งสตรีพหยอกล้อว่าเป็น “ดาวรุ่งดวงใหม่วัย 45 ปีได้เล่นหนัง 21 เรื่อง ทั้งหมดอาจไม่ใช่บทนำ หรือตัวเดินเรื่องสำคัญ แต่เธอกลายเป็นนักแสดงหญิงผิวดำที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง และได้เข้าชิงออสการ์เป็นครั้งที่สองจากบท ไอบีลีน คลาร์ค คนรับใช้ผิวดำที่เปิดเผยให้เห็นทัศนคติเหยียดผิวของเหล่าแม่บ้านผิวขาวในหนังฮิตเรื่อง The Help “ไม่เคยมีใครถามว่าชีวิตฉันเป็นยังไงไอบีลีนกล่าวในตอนท้ายเรื่อง ความเมินเฉยต่อชีวิตคนผิวสีเป็นสิ่งที่เดวิสประสบพบเจออยู่ทุกเมื่อเชื่อวันตลอดอาชีพนักแสดง “ฉันมักจะได้แต่บทเพื่อนสนิท ไม่ก็คุณแม่ติดยา เพื่อนบ้าน หรือคนทำงานที่ปราศจากชีวิตส่วนตัวเธอกล่าว “พวกเรา (คนผิวสี) ถูกจำกัดภาพลักษณ์ให้เหลืออยู่แค่ไม่กี่อย่าง

เมื่อเดวิสเล่นเป็น แอนนาลิส คีติ้ง ทนายชื่อดังและอาจารย์สอนกฎหมาย ในซีรีส์ฮิตช่องเอบีซีเรื่อง How to Get Away with Murder ซึ่งปัจจุบันกำลังย่างเข้าสู่ปีที่สาม เธอพยายามผลักดันตั้งแต่เริ่มแรกให้ผู้สร้าง ปีเตอร์ โนวอล์ค ขับเน้นอารมณ์ภายในของแอนนาลิส เปิดโอกาสให้คนดูได้เห็นช่วงเวลาอันเป็นส่วนตัวของทนายที่แข็งแกร่งและฉลาดเป็นกรด แต่เต็มไปด้วยอดีตอันโหดร้าย “ฉันพยายามจะพาคนดูไปสำรวจจิตใจตัวละครนี้ ภายใต้กรอบของการเล่าเรื่องที่กำหนดมาให้เธอกล่าว “ฉันไม่เห็นว่าการแสดงคือการหลบซ่อน แต่เป็นความกล้าที่จะเปลือยเปล่าตัวเองต่อหน้าคนแปลกหน้ากลุ่มใหญ่ มันคือการเปิดเผยตัวตน ความเป็นมนุษย์ ความเปราะบาง ฉันคิดว่านั่นคือความหมายของการแสดง ท้ายที่สุดแล้วคนส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะสวมหน้ากาก การแสดงทำให้เราสามารถถอดหน้ากากออกได้ และกลายเป็นที่ยอมรับ หรือสรรเสริญของผู้คนโนวอล์คเสริมว่า “นับแต่ครั้งแรกที่เราได้คุยโทรศัพท์กัน เธอบอกว่า ‘ฉันอยากเป็นผู้หญิงที่ถอดวิก แล้วเช็ดเมคอัพออกจากหน้า เพื่อให้คนดูได้เห็นตัวตนแท้จริงของเธอเธอทำให้ตัวละครซับซ้อนและน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ฉากที่แอนนาลิสถอดวิกออก ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นฉากโด่งดังสุดของซีรีส์นี้ เป็นความคิดของเธอล้วนๆ ไม่ต้องสงสัยว่าเธอช่วยยกระดับตัวละครขึ้นไปอีกขั้น

ตอนเดวิสกลายเป็นนักแสดงแอฟริกัน-อเมริกันคนแรกที่คว้ารางวัลเอ็มมีสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์ประเภทดรามาเมื่อปี 2015 เธออ้างอิงคำกล่าวของ แฮร์เรียต ทับแมน ระหว่างขึ้นรับรางวัล “ภายในใจ ฉันมองเห็นเส้นแบ่ง และเหนือเส้นแบ่งขึ้นไป ฉันเห็นท้องทุ่งเขียวขจี ดอกไม้งดงาม และเหล่าผู้หญิงผิวขาวแสนสวยอ้าแขนต้อนรับฉัน แต่ฉันไม่อาจไปถึงตรงนั้นได้... สิ่งเดียวที่แบ่งแยกผู้หญิงผิวสีจากคนอื่นๆ คือ โอกาส คุณจะชนะรางวัลเอ็มมีได้อย่างไร ถ้าไม่มีใครเสนอบทดีๆ ให้กับคุณ

ในเดือนมกราคม เดวิส ซึ่งปัจจุบันอายุ 51 ปี จะถูกจารึกชื่อบน ฮอลลีวู้ด วอล์ค ออฟ เฟม แต่ความสำเร็จแท้จริงของเธอเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นสองสามสัปดาห์ เมื่อหนังซึ่งดัดแปลงจากบทละครชนะรางวัลพูลิทเซอร์ของ ออกัสต์ วิลสัน เรื่อง Fences เข้าฉายทั่วอเมริกา ในผลงานแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุด เธอรับบทเป็น โรส ภรรยาที่อ่อนโยนของ ทรอย แม็กซ์สัน (เดนเซล วอชิงตัน) อดีตยอดนักกีฬาที่กลายมาเป็นพนักงานเก็บขยะเพราะสูญเสียโอกาสจากอคติทางสังคม ความลึกและละเอียดทางการแสดงของเดวิสถือเป็นสิ่งพิเศษสุด เช่นเดียวกับความสามารถในการรับบทได้หลากหลาย เช่น เมื่อปี 1995 เธอเล่นเป็นวีรา แฟนสาวปากหวานของนักดนตรีวัย 40 กว่าในละครเรื่อง Seven Guitars เธอขี้อาย ก๋ากั่น และเงียบเหงาสลับกันไปมาได้อย่างลื่นไหล ในปี 2001 เธอเล่นเป็นทอนยา อดีตนักโทษที่ไม่แคร์สังคมใน King Hedley II บทนี้ทำให้เธอคว้ารางวัลโทนีตัวแรกไปครอง เธอดุดัน หัวใจสลาย และพังพินาศได้อย่างสะเทือนอารมณ์ ใน Fences เธออัดแน่นด้วยความรักและความเศร้า เมื่อทรอยบอกโรสว่าเขามีลูกกับผู้หญิงอีกคน เธอจ้องมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา จากนั้นเมื่อความจริงเริ่มเกาะกุมจิตใจ พายุที่โหมกระหน่ำอยู่ในใจโรสก็พลันฉายชัดบนใบหน้าของเดวิส “มีบางครั้งที่อารมณ์ต่างๆ ไม่ได้ถูกเก็บกดไว้เดวิสกล่าว “ไม่ถูกกลั่นกรอง แต่ถูกปลดปล่อยความเศร้าของโรสเมื่อตระหนักว่าถูกสามีทรยศคือ หนึ่งในช่วงเวลานั้น

เธอบอกเขาว่า คุณไม่ใช่คนเดียวที่มีความต้องการ แต่ฉันก็เคยไม่ทิ้งคุณไปไหน ทรอย ฉันเก็บความรู้สึก ความต้องการ และความฝันของฉัน... แล้วฝังมันไว้ในใจ ฉันหว่านเมล็ดพืช เฝ้ามองและสวดภาวนาให้มันเติบโต ฉันสละตัวเองให้กับคุณ เฝ้ารอวันที่มันจะผลิดอกออกผล แต่ผ่านมา 18 ปี ฉันเพิ่งตระหนักว่าผืนดินนั้นแห้งแล้ง มีแต่กรวดหิน จนไม่มีสิ่งใดสามารถเติบโตได้พูดจบ เดวิส ซึ่งเต็มตื้นไปด้วยอารมณ์ความแค้นและความเศร้าของโรส ก็หลั่งน้ำหูน้ำตาอย่างไม่อาจหยุดยั้ง สตีเวน เฮนเดอร์สัน ซึ่งรับบทเป็นเพื่อนทรอย กล่าวถึงการแสดงของเธอในฉากดังกล่าวว่า “คุณไม่สามารถไปถึงจุดนั้นได้ ถ้าคุณไม่เคยเดินผ่านมาก่อน นั่นทำให้ทุกอย่างจริงและเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น


นาโอมิ แฮร์ริส (Moonlight)

ในหนังขวัญใจนักวิจารณ์เรื่อง Moonlight เล่าถึงสามช่วงชีวิตของชายผิวดำจากวัยเด็ก สู่วัยรุ่น และปิดท้ายด้วยวัยหนุ่ม รับบทโดยนักแสดงสามรุ่น อเล็กซ์ ฮิบเบิร์ตแอชตัน แซนเดอร์ส และ เทรแวนท์ โรดส์ มีแค่ นาโอมิ แฮร์ริส คนเดียวที่ปรากฏตัวอยู่ในทั้งสามช่วงชีวิต แต่เธอใช้เวลาถ่ายทำทั้งหมดภายในสามวันระหว่างพักทัวร์โปรโมตหนังเรื่อง Spectre ที่ เม็กซิโก ซิตี้ ในหนังบล็อกบัสเตอร์ฟอร์มยักษ์อย่าง Spectre แฮร์ริสรับบท อีฟ มันนีเพนนี เลขาที่ถนัดยั่วยวนและมีไหวพริบเฉียบคม แต่ในหนังอินดี้ทุนต่ำเรื่อง Moonlight เธอต้องพลิกบทบาทชนิดหน้ามือเป็นหลังมือเพื่อรับบทพอลลา คุณแม่ขี้ยาที่ชีวิตดำดิ่งถึงจุดต่ำสุด

ฉากแรกที่เธอต้องเข้ากล้องเป็นตอนที่ พอลลา ไล่ลูกชายวัยรุ่น ไชรอน (แซนเดอร์ส) ออกจากบ้านเพื่อเธอจะได้เสพยา แต่ในเช้าถัดมา คนดูกลับพบเธอโดนขังอยู่นอกห้องในสภาพทรุดโทรม ไชรอนเพิ่งกลับจากไปนอนค้างบ้านฮวน (มาเฮอร์ชาลา อาลี) พ่อค้ายาที่เขาสนิทสนม ผูกพัน กับแฟนสาว เทเรซา (เจเนล โมเน) ซึ่งคอยปกป้องและมอบความอบอุ่นกับไชรอนอย่างสุดความสามารถ พอลลาพยายามค้นตัวลูกชายเพื่อไถเงินจนสำเร็จ จากนั้นเธอก็ไม่เปิดโอกาสให้เขาอาบน้ำอาบท่า และไล่ให้เขาไปโรงเรียนทั้งที่ยังสวมเสื้อผ้าชุดเดิมจากเมื่อวาน “บางคัทที่ไม่ได้ปรากฏในหนังโหดร้ายกว่าที่เห็นอีก มันทำใจได้ลำบากมาก” แฮร์ริสเล่า “เป็นฉากที่หนักหน่วงทางอารมณ์สำหรับแอชตัน หลังผู้กำกับสั่งคัทเราถึงต้องสวมกอดกัน เขาเป็นเด็กอ่อนโยน สุภาพเรียบร้อย ฉันมักจะทำดีกับเขาเป็นพิเศษในช่วงระหว่างเทค

บทที่นักแสดงสาววัย 40 ปีชาวอังกฤษต้องแบกรับเป็นเหมือนส่วนผสมระหว่างแม่ตัวจริงของ แบร์รี เจนกินส์ ผู้กำกับ และ ทาเรลล์ อัลวิน แม็คเครนีย์ เจ้าของบทละครต้นฉบับที่ถูกนำมาดัดแปลง หนังตามสำรวจชีวิตลูกชายคนเดียวของพอลลา ขณะเขาต้องฟันฝ่าอุปสรรคเพียงลำพัง หลังแม่ของเขาเสพติดโคเคนหนักขึ้นเรื่อยๆ การได้เห็นแฮร์ริสสวมวิญญาณเป็นแม่เขาถือเป็นประสบการณ์ที่เจนกินส์ทำใจได้ลำบาก เพราะมันกระตุ้นความทรงจำวัยเด็กของเขาให้กลับมาฉายชัดอีกครั้ง “ถามว่าระหว่าง 1-10 หนังเรื่องนี้ใกล้เคียงกับผมเป็นการส่วนตัวมากแค่ไหน คำตอบคือ 15 ได้เจนกินส์ให้สัมภาษณ์ พร้อมกับเล่าว่าเขาเคยดำดิ่งกับการนั่งมองแฮร์ริสรับบทเป็นแม่ของเขาถึงขนาดลืมสั่งคัทก็มี “มันบีบคั้นหัวใจมาก นาโอมิเล่นได้ดีอย่างไม่มีที่ติ

สิ่งที่ทำให้ผลงานของแฮร์ริสใน Moonlight ลืมไม่ลง คือ การสะท้อนด้านที่มืดมิดที่สุดของคนออกมา แต่ในเวลาเดียวกันบทแม่ขี้ยาผิวดำถือเป็นภาพจำซ้ำซากซึ่งเราเห็นมาจนเบื่อบนจอภาพยนตร์ ส่งผลให้แฮร์ริสลังเลที่จะรับเล่นหนังในตอนแรก “แต่พอได้คุยกับแบร์รี (เจนกินส์) ฉันก็หมดห่วง เพราะพอลลาเป็นเหมือนภาพรวมของแม่เขากับทาเรลล์ ฉะนั้น เขาย่อมต้องทำทุกทางเพื่อไม่ให้เธอเป็นวายร้ายที่แบนราบ แต่เป็นตัวละครที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน และแง่มุมความเป็นมนุษย์แบบที่เธอสมควรได้รับ” เธอกล่าว ในช่วงท้ายเรื่อง ไชรอนวัยผู้ใหญ่ ซึ่งเรียกตัวเองว่าแบล็ค (โรดส์) กลับมาเยี่ยมแม่ในศูนย์บำบัดผู้ติดยาเสพติด ซึ่งเธอทำงานเป็นที่ปรึกษาคนไข้ แม้กระทั่งในช่วงเวลาที่ทั้งสองพร้อมจะเริ่มปรับความเข้าใจกัน เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะต่อว่าเธอ การแสดงอันทรงพลังของแฮร์ริสทำให้หลายฉาก ซึ่งอธิบายว่าทำไมแบล็คถึงเกลียดแม่ตัวเอง ดูน่าเชื่อถือและชวนให้ขนลุกอย่างยิ่ง หนึ่งในนั้นเป็นตอนที่เธอยืนตะโกนด่าไชรอนวัยเด็ก (ฮิบเบิร์ต) เจนกินส์เลือกถ่ายช็อตนี้โดยให้เธอตะโกนใส่หน้ากล้อง เพื่อคนดูจะได้รับรู้ถึงความโกรธแค้นและเกลียดชังตัวเองของพอลลาได้อย่างชัดเจน ฉันขอแบร์รีว่าอย่าพาอเล็กซ์มาเข้าฉากแฮร์ริสกล่าว “ฉันไม่อยากตะโกนใส่หน้าเด็ก เพราะฉันไม่คิดว่า... ถึงแม้ตัวเด็กเองจะบอกว่าไม่เป็นไร เพราะฉันไม่คิดว่าเด็กอายุขนาดนั้นเติบโตทางอารมณ์พอจะรับมือได้ ฉันไม่รู้สึกว่าตัวเองจำเป็นต้องร้ายใส่เขา ยกเว้นฉากหนึ่งที่ฉันต้องกระชากแขนเขาเข้าบ้าน

เนื่องจาก Moonlight เน้นเล่าถึงพัฒนาการของไชรอน พื้นเพของพอลลาจึงไม่ถูกเอ่ยถึง หนังพยายามสะท้อนให้เห็นว่าสภาพแวดล้อมมีอิทธิพลหล่อหลอมไชรอนแค่ไหน และการใช้นักแสดงสามคนเล่นเป็นไชรอน แต่พอลลารับบทโดยแฮร์ริสคนเดียวช่วยตอกย้ำประเด็นดังกล่าว กระนั้นแฮร์ริสก็มีวิธีล้วงลึกถึงสภาพจิตใจของพอลลา ซึ่งอาจไม่ปรากฏให้เห็นในหนัง จากการดูคลิปสัมภาษณ์คนติดโคเคนในยูทูปและสารคดีเกี่ยวกับไมอามีช่วงยุค 80 ซึ่งเป็นฉากหลังของ Moonlight “ฉันพบว่าทุกคนที่ถูกสัมภาษณ์ล้วนเคยถูกทารุณทางเพศ หรือถูกข่มขืนมาก่อน นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันเข้าถึงสภาพจิตใจของตัวละครอย่างแท้จริง ฉันพลันตระหนักว่าพวกเธอเลือกเสพโคเคนเพื่อหลบหนีจากความเจ็บปวดแฮร์ริสกล่าว ข้อเท็จจริงข้างต้นสอดคล้องกับบทสัมภาษณ์ของแม็คเครนีย์และเจนกินส์ ซึ่งเปิดเผยว่าแม่พวกเขาต่างก็เคยถูกทารุณทางเพศมาก่อน “มันนำพาฉันไปสู่การสำรวจและพยายามทำความเข้าใจอดีตของพอลลา เธอมีชีวิตยังไง เติบโตมายังไง พ่อแม่เธอเป็นคนแบบไหน เธอไม่พร้อมจะมีลูก เธอไม่เคยได้ความรักที่ต้องการในวัยเด็ก ฉะนั้นเธอจะเอาความรักที่ไหนมาส่งมอบให้คนอื่น

แม้จะเป็นตัวละครที่น่าชิงชัง แต่พอลลาก็มีพัฒนาการไม่ต่างจากไชรอน ซึ่งถือเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งสำหรับแฮร์ริส “ความสัมพันธ์ระหว่างพอลลากับไชรอนในแต่ละช่วงอายุจะแตกต่างกันไป กับลิตเติล (ฮิบเบิร์ต) ซึ่งเป็นช่วงแรกของหนัง เธอเพิ่งเริ่มเสพติดโคเคน อาจมีฉุนเฉียวบ้าง แต่ก็คุมอารมณ์ได้ ในช่วงกลางกับแอชตัน เรียกได้ว่าเธอสติหลุดไปแล้ว กำลังติดยาถึงขั้นงอมแงม และในช่วงท้ายเธอเริ่มตระหนักถึงสิ่งต่างๆ ที่ทำลงไป พร้อมมองหาโอกาสที่จะได้กลับมาสานสัมพันธ์กับลูกชายอีกครั้ง


นิโคล คิดแมน (Lion)

เมื่อไม่นานมานี้ลูกเล็กๆ ของ นิโคล คิดแมน เพิ่งได้ดูหนังเรื่อง Paddington ซึ่งเธอรับบทนักสตัฟฟ์สัตว์สายโหดที่หวังจะฆ่าหมีตัวเอกมาเก็บเป็นคอลเล็กชั่นส่วนตัว พวกเขาถามฉันว่า ทำไมแม่เล่นเป็นตัวร้ายคิดแมนหัวเราะ พวกเขาอยากให้ฉันเล่นเป็นแม่หมี ฉันเลยตอบว่า ก็ไม่มีใครจ้างแม่ให้เล่นเป็นแม่หมีแต่ล่าสุดนักแสดงสาววัย 49 ปีที่ได้ออสการ์จากการรับบทนักเขียนหญิงที่ฆ่าตัวตายและไม่มีลูกอย่าง เวอร์จิเนีย วูล์ฟ ถูกว่าจ้างให้รับบทที่ใกล้เคียงกับแม่หมีในหนังที่สร้างจากเหตุการณ์จริงเรื่อง Lion

คิดแมนยอมรับว่าเธอไม่ใช่ตัวเลือกแรกสำหรับบทคุณแม่อบอุ่น เปี่ยมความรัก ตรงกันข้าม บทที่เธอได้รับตลอดช่วงเวลาหลายปีมักเป็นบทผู้หญิงที่เขย่าขวัญเด็กๆ หรือไม่ก็โศกเศร้าจากการสูญเสียลูก ซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องน่าสะเทือนใจไม่น้อยสำหรับผู้หญิงที่ต้องพลัดพรากจากลูกเลี้ยงสองคนที่เธอกับ ทอม ครูซ รับอุปการะ (ในตอนนี้เธอได้พบเจอพวกเขาบ้างแล้ว และมีลูกสาวสองคนกับสามีใหม่ คีธ เออร์เบิน) รูปแบบดังกล่าวเริ่มต้นจาก The Others ตามมาด้วยหนังที่พุ่งเป้าไปยังกลุ่มคนดูวัยเยาว์อย่าง Paddington และ The Golden Compass ซึ่งความสวยสง่าของคิดแมนถูกใช้เพื่อข่มขวัญ ส่วนหนังเรื่องอื่นๆ ที่เหลือลูกของเธอในเรื่องมักจะไม่อยู่รอดปลอดภัย (Rabbit Hole) หรือในกรณี Margot at the Wedding และ Stoker ก็ต้องทนโดนเธอด่าว่าโขกสับ

ฉะนั้นเมื่อเธอบอกว่าหนังใหม่เรื่อง Lion เป็น สิ่งที่ฉันไม่เคยทำบนจอภาพยนตร์เธอจึงหมายความตามนั้นจริงๆ หนังเล่าถึงวิบากกรรมของซารู เด็กชายวัย 5 ขวบที่พลัดหลงจากครอบครัวบนรถไฟ แล้วถูกบีบให้ต้องเร่ร่อนอยู่บนถนนในเมืองกัลกัตตา เพราะจำทางกลับบ้านไม่ได้ ก่อนสุดท้ายเขาจะถูกส่งไปอยู่กับคุณแม่ชาวออสเตรเลีย ซู เบรียร์ลีย์ (คิดแมน) ที่ชุบเลี้ยงเขาด้วยความรัก คอยสนับสนุน มอบความอบอุ่นให้เขาเสมอมา แม้เมื่อยี่สิบห้าปีต่อมา เขา (รับบทโดย เดฟ พาเทล) จะตัดสินใจกลับไปตามหาแม่แท้ๆ ที่ประเทศบ้านเกิด เพราะซูต้องการเพียงแค่ให้ลูกชายของเธอมีความสุข ถ้าฉันไม่ได้ไปอเมริกา ฉันก็คงไม่แตกต่างกับผู้หญิงคนนี้นักแสดงสาวที่เกิดและเติบโตในซิดนีย์กล่าว เธออ้อนวอนขอบทนี้จาก การ์ธ เดวิส ผู้กำกับ และมีข้อได้เปรียบตรงที่ ซู เบรียร์ลีย์ ตัวจริงก็อยากให้คิดแมนมาเล่นเป็นเธอ

ฉากเด่นในช่วงท้ายเรื่องเมื่อซูเล่าถึงนิมิตรวัยเด็ก เป็นฉากที่อัดแน่นไปด้วยอารมณ์ เป็นภาพสะท้อนสัญชาตญาณความเป็นแม่อันทรงพลัง ซึ่งแน่นอนว่าคิดแมนสามารถถ่ายทอดได้อย่างหมดจด สมบูรณ์แบบ ความรักของคนเป็นแม่เป็นความรู้สึกที่เข้มข้น ยิ่งใหญ่ ลึกซึ้ง วิ่งแล่นจากร่างกายคุณไปสู่ร่างกายของมนุษย์อีกคนเธอกล่าว มันเป็นเหมือนจุดพลิกผัน มันเปลี่ยนคุณเป็นอีกคน

เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับบทนี้ คิดแมนได้พูดคุยกับเบรียร์ลีย์ก่อนเปิดกล้อง เธออบอุ่น แต่เข้มแข็งและเข้าใจชีวิต ฉันชอบความจริงใจ ความหนักแน่นไม่เปลี่ยนแปลงของเธอ ในหนังตอนเธอพูดว่า แม่จะมีลูกของตัวเองเองก็ได้ แต่นี่เป็นสิ่งที่แม่เลือก ลูกเป็นลูกของแม่ ชะตาลิขิตให้ลูกมาเป็นลูกแม่ ลูกจะพูดหรือทำอะไรก็ได้ตามต้องการ แต่แม่จะยังคงรักลูกต่อไปมันน่าทึ่งมากคิดแมนอธิบายการแสดงของเธอว่าเป็นเหมือน จดหมายรักถึงลูกๆ เธอความเข้าอกเข้าใจ ความอ่อนไหวแบบคนเป็นแม่สะท้อนชัดผ่านน้ำเสียง สีหน้า และแววตาเธอ

คิดแมนยกเครดิตส่วนหนึ่งให้กับการทำงานในประเทศบ้านเกิด ล้อมรอบไปด้วยใบหน้าของคนรู้จักคุ้นเคย บางคนเธอเคยร่วมงานด้วยตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยรุ่น มันทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นเยอะ ฉันรู้จักทีมงานทุกคน เรามีบ้านอยู่ที่นี่ ลูกๆ ฉันรู้จักออสเตรเลียดี เพราะพ่อแม่ญาติพี่น้องฉันอยู่นี่ เช่นเดียวกับเพื่อนอีกมากมายเธอกล่าวถึงทีมงานในท้องถิ่นว่า ฉันเติบโตมาพร้อมพวกเขา มันทั้งประหลาดและวิเศษสุด พวกเขาเคยเห็นฉันตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น มันไม่เหมือนในอเมริกา ฉันรู้จักอุตสาหกรรมทำหนังในออสเตรเลียตั้งแต่อายุแค่ 16 ปี นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงอยากกลับมาทำงานที่นี่ แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะมีบทให้เล่นไม่มากนัก... ฉันโชคดีบ้างเป็นบางครั้ง

สำหรับนักดูหนังทั่วไป คิดแมนเป็นซูเปอร์สตาร์ระดับแนวหน้า แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาดูเหมือนเธอจะสนใจเล่นแต่หนังอาร์ตเฮาส์ฟอร์มเล็กมากกว่าหนังบล็อกบัสเตอร์ และมองในแง่รางวัลเอง บทวายร้าย หรือผู้หญิงที่เย็นชาก็มีข้อจำกัดในตัวเอง เพราะบทเหล่านี้ยากจะเรียกร้องความเห็นใจจากคนดู แต่ Lion ช่วยผลักดันให้คิดแมนหวนคืนสู่เวทีรางวัลอีกครั้ง โดยสาขาที่เธอเข้าชิงเต็มไปด้วยคุณแม่อารมณ์คับแค้น ไม่ว่าจะเป็น มิเชลล์ วิลเลียมส์ จาก Manchester by the Sea ไวโอลา เดวิส จาก Fences และ นาโอมิ แฮร์ริส จาก Moonlight ปีนี้คิดแมนจะมีผลงานแน่นขนัดจากการร่วมงานกับ โซเฟีย คอปโปลา, จอห์น คาเมรอน มิทเชลล์ และ ยอร์กอส แลนธิมอส (The Lobster) รวมถึงการกระโดดไปเล่นซีรีส์ทีวีกับ เจน แคมเปียน เรื่อง Top of the Lake และซีรีส์ทางช่อง HBO เรื่อง Big Little Lies ซึ่งเธอรับตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างและนำแสดงร่วมกับ รีส วิทเธอร์สพูน

นักแสดงเด็กในซีรีส์ยังคงแวะเวียนมาหาคิดแมนที่บ้านเพื่อเล่นกับลูกๆ เธอเป็นครั้งคราว เราสนิทกันมากเธอเล่า ฉันมีวิญญาณความเป็นแม่เต็มตัว ที่บ้านฉันจะคอยดูแลทุกคน สามีฉันชอบพูดเสมอว่า คุณช่วยคนทั้งโลกไม่ได้หรอก นิโคลแต่ฉันคิดว่านิสัยดังกล่าวคงฝังอยู่ในสายเลือดแล้ว ความรักไม่อาจระเหย หรือเหือดแห้งไปได้ง่ายๆ เป็นเหมือนบ่อน้ำที่ปราศจากก้นบึ้ง มันจะคงอยู่ตลอดไป ซึ่งเป็นเรื่องดีที่จะบอกเด็กๆ แบบนั้น แม่จะไม่มีวันทอดทิ้งหนูความรักที่แม่มีให้จะคงอยู่ตลอดไปเธอหยุดชั่วครู่ก่อนจะเสริมว่า มันสำคัญมากที่เราควรได้ยินอะไรแบบนี้ตั้งแต่เด็ก... แล้วผู้ใหญ่ล่ะ? “อ๋อ ฉันก็ยังอยากได้ยินอยู่ อยากให้มีคนคอยพูดแบบนี้เหมือนกัน


ออกเทเวีย สเปนเซอร์ (Hidden Figures)

ในกองถ่ายที่เมืองแคนตัน รัฐมิสซิสซิปปี เมื่อ 20 ปีก่อน ออกเทเวีย สเปนเซอร์ ได้เริ่มต้นอาชีพนักแสดงแบบโชคช่วยขณะอายุ 20 กว่าๆ และทำงานเป็นผู้ช่วยกองถ่ายหนังเรื่อง A Time to Kill นำแสดงโดย แซนดร้า บูลล็อค และ แม็ทธิว แม็คคอนาเฮย์ เธอถามผู้กำกับ โจเอล ชูมัคเกอร์ ว่าจะขออ่านบทเป็นผู้หญิงที่ก่อหวอดการประท้วงได้มั้ย เขาตอบว่า อย่าดีกว่า หน้าคุณหวานเกินไป เล่นเป็นพยาบาลของแซนดี้แทนละกันสเปนเซอร์หัวเราะ หน้าคุณเหมาะเล่นบทพยาบาล พยาบาลนี่ต้องหน้าแบบไหนกันเหรอจากการค้นข้อมูลใน IMDB.com ปรากฏว่าสเปนเซอร์เคยเล่นเป็นพยาบาลทั้งหมด 16 ครั้งด้วยกัน

นักแสดงสาววัย 46 ปี แต่ดูอ่อนกว่าวัยมาก ปรากฏตัวในหนังและละครทีวีอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่ในฐานะตัวประกอบจนกระทั่งได้แจ้งเกิดกับ The Help เมื่อ 5 ปีก่อน กับบทคนรับใช้ที่วางแผนแก้เผ็ดนายจ้างใจมารด้วยพายมรณะ เสียงชื่นชมหนาหู ตามมาด้วยรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม ไม่ได้แปลว่าจะมีข้อเสนอหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสายเสมอไป แต่ปีนี้สเปนเซอร์มีโอกาสได้รับบทที่ห่างไกลจากพยาบาลในหนังที่สร้างจากเรื่องจริงซึ่งน้อยคนจะรู้จนตอนแรกเธอเองยังคิดว่าเป็นเรื่องแต่ง Hidden Figures เล่าเรื่องราวของทีมนักคณิตศาสตร์หญิงผิวสี ทำงานในนาซาระหว่างช่วงเรียกร้องสิทธิพลเมืองที่รัฐเวอร์จิเนีย สเปนเซอร์รับบทเป็น โดโรธี วอแฮน รุ่นพี่ที่คอยสอนทีมงานหญิงในการตั้งโปรแกรมให้กับคอมพิวเตอร์ IBM (เพื่อให้เข้าถึงอัจฉริยภาพด้านวิศวกรรมของตัวละคร สเปนเซอร์พยายามจะสร้างและซ่อมพัดลมตลอดการถ่ายทำ แต่ผลลัพธ์ที่ตามมาไม่สวยงามเท่าไหร่)

ออกเทเวียเป็นขวัญใจในกองถ่าย เธอพยายามจะสร้างความรื่นเริงให้กับผู้หญิงทุกคนเหมือนกับโดโรธีเจเนล โมเน นักร้องที่เพิ่งจะผันตัวมาเป็นนักแสดงครั้งแรกกล่าว เธอรับบทเพื่อนของโดโรธีในนาซา สเปนเซอร์จะคอยแนะนำและส่งข้อความให้กำลังใจน้องใหม่เสมอหลังผ่านการถ่ายทำฉากสำคัญ ตัวละครของพวกเราต้องรับมือกับทัศนคติเหยียดเพศ เหยียดเชื้อชาติ สีผิว และคาดหวังกำลังใจจากเพื่อนผู้หญิงที่ร่วมงานกัน ออกเทเวียไม่เพียงแสดงให้เห็นบนจอเท่านั้น ในชีวิตจริงเธอก็ทำแบบเดียวกัน

สเปนเซอร์เกิดที่เมืองมอนโกเมอรี รัฐแอละแบมา เป็นลูกคนที่ 6 จากทั้งหมด 7 คนของคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ซึ่งต้องเก็บกวาดบ้าน ดูแลลูก พร้อมกับรับงานสารพัดเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว แม่เป็นแบบอย่างให้ฉันขยันทำงานเพื่อจะได้เลี้ยงตัวเอง ฉะนั้นฉันจึงไม่เคยเกี่ยงงานแม่เสียชีวิตตอนเธออายุได้ 18 ปี จากนั้นไม่กี่เดือนต่อมา สเปนเซอร์ก็เข้ามหาวิทยาลัยออเบิร์นในแอละแบมา เลือกโท (ไม่ใช่เอก) การละคร เพราะโรคตื่นเวที แต่เธอบอกว่าเธอไม่รู้สึกตื่นเต้นเวลาอยู่ในกองถ่าย ธีโอดอร์ เมลฟี ผู้กำกับ Hidden Figures ตั้งข้อสังเกตว่า เธอจะมาถึงกองถ่ายล่วงหน้าหลายชั่วโมง นั่งครุ่นคิดแล้วซึมซับทุกอย่าง กว่าเราจะเริ่มเดินกล้อง เธอก็เข้าใจชัดแล้วว่าต้องทำอะไรและตัวเองเป็นใคร เธอประสานเป็นหนึ่งเดียวกับตัวละคร

สเปนเซอร์ย้ายมาอยู่แอลเอในปี 1997 ตามคำแนะนำของเพื่อนสนิท เทท เทย์เลอร์ ซึ่งต่อมาเป็นผู้กำกับ The Help เขาเคยเป็นผู้ช่วยกองถ่ายของหนังเรื่อง A Time to Kill เช่นกัน แก๊งเพื่อนชาวใต้ที่ร่วมดิ้นรนหาที่ทางในฮอลลีวู้ดประกอบไปด้วยเทย์เลอร์, สเปนเซอร์, อัลลิสัน แจนนี, เมลิสซา แม็คคาร์ธีย์ และ บรันสัน กรีน ซึ่งต่อมาเป็นผู้อำนวยการสร้าง The Help “เราไม่ได้โด่งดังในชั่วข้ามคืนเทย์เลอร์กล่าว ออกเทเวียกับผมผลัดกันยืมเงินไม่รู้กี่ครั้งทั้งสองแชร์ห้องเช่าด้วยกันระหว่างเขาดัดแปลงนิยายเรื่อง The Help เธอเคยตะโกนบอกผมว่า รู้ใช่มั้ยว่านั่นมันบทฉันผมก็อยากให้เธอได้บทเพราะเธอมีจังหวะเล่นตลกที่เป๊ะมาก ผมรู้ทันทีว่าคนดูต้องหลงรักเธอแน่

หลังรางวัลออสการ์สเปนเซอร์ได้ข้อเสนอให้เล่นเป็นคนรับใช้หลายครั้ง ด้วยเหตุนี้เธอจึงหนีไปเล่นหนังอินดี้อย่าง Smashed เกี่ยวกับโรคพิษสุราเรื้อรัง และบทแม่ ออสการ์ แกรนท์ เด็กหนุ่มผิวดำที่ถูกเจ้าหน้าที่ผิวขาวสังหารเมื่อปี 2009 ในหนังเรื่อง Fruitvale Station ซึ่งก่อนจะเริ่มเปิดกล้อง ทีมงานสูญทุนสร้างไป 150,000 เหรียญจากทุนรวม 900,000 สเปนเซอร์จึงตั้งตนเป็นผู้อำนวยการสร้าง ฉันลงเงินตัวเอง โทรหาเพื่อนมีตังค์หลายคนเธอเล่า งานของผู้อำนวยการสร้างก็เหมือนการไขปริศนา ชักนำคนให้มาร่วมกันงาน ในชีวิตจริงฉันก็ทำแบบนั้นมาตลอด

เธอตระหนักว่าฮอลลีวู้ดไม่ค่อยมีบทดีๆ ให้นักแสดงผิวสี จึงเริ่มหาทางแก้ด้วยการซื้อลิขสิทธิ์หนังสือมาพัฒนาเป็นหนัง หนึ่งในนั้น คือ เรื่องราวของ มาดาม ซี.เจ. วอล์คเกอร์ เศรษฐีนีเงินล้านชาวแอฟริกัน-อเมริกันคนแรก หลังจากเล่นหนังเรื่อง Hidden Figures ฉันก็ไม่มีปัญหากับการลุกขึ้นพูดต่อหน้าเหล่าผู้บริหารชายอีกต่อไปว่าฉันต้องการคนเขียนบทผู้หญิง ผู้กำกับหญิง หรืออยากได้มุมมองของคนผิวสี หรือคนละติน และฉันก็ไม่รู้สึกแย่ที่ต้องทำแบบนั้นด้วย ผู้หญิงควรเรียกร้องในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ไม่แน่ คุณอาจจะประหลาดใจก็ได้ เมื่อพบว่าพวกผู้ชายไม่ได้เหยียดเพศอย่างที่เราคิดเสมอไปเธอกล่าว

ในเวลาเดียวกันบทในหนังใหญ่ก็เริ่มทยอยเข้ามาหาอย่างต่อเนื่อง จนเธอมีโอกาสอยู่บ้านในแอลเอแค่ 6 สัปดาห์เท่านั้นเมื่อปีที่ผ่านมา เช่น ภาคต่อของซีรีส์ Divergent และตอนนี้เธอกำลังถ่ายหนังเรื่องใหม่กับ กิลเลอร์โม เดล โทโร ซึ่งมีชื่อว่า The Shape of Water โดยฉากหลังจะย้อนกลับยังยุค 60 ช่วงเรียกร้องสิทธิพลเมืองอีกเช่นกัน แต่คราวนี้เธอต้องรับบทเป็นพนักงานทำความสะอาด เป็นเรื่องยากที่จะพาตัวเองย้อนไปยุค 60 ในกองถ่าย แล้วพอเลิกงานก็ออกไปสนุกสนานในโลกแห่งความจริงเธอเล่าถึงขั้นตอนการทำงาน ฉะนั้นฉันจึงเลือกที่จะปลีกตัวออกมาและความทุ่มเทเพื่อให้เข้าถึงบทดังกล่าวส่งผลให้เธอได้หวนคืนสู่เวทีออสการ์อีกครั้ง


มิเชลล์ วิลเลียมส์ (Manchester by the Sea)

ในหนังใหม่ของ เคนเน็ธ โลเนอร์แกน เรื่อง Manchester by the Sea มิเชลล์ วิลเลียมส์ มีเวลาบนจอจอแค่ไม่กี่ฉากในบทอดีตภรรยาของ เคซีย์ อัฟเฟล็ค ชายที่ชีวิตด้านชาเพราะความโศกเศร้าและความรู้สึกผิดจากโศกนาฏกรรม แต่เธอใช้เวลาทุกวินาทีนั้นอย่างคุ้มค่าจนคนดูไม่อาจละสายตายามเธออยู่บนจอ ความเด่นของบทไม่เคยเป็นปัญหาสำหรับวิลเลียมส์ เพราะเธอเพิ่งจะปิดกล้องบท รับเชิญในหนังใหม่ของ ท็อด เฮย์นส์ เรื่อง Wonderstruck เมื่อไม่กี่เดือนก่อน แต่ทั้งบทนั้นและบทใน Manchester by the Sea กินเวลาอยู่ในหัวเธอนานกว่าเวลาบนจอหนังหลายเท่า บางคนจะพูดว่า มันใช้เวลาแค่แป๊บเดียวเองซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่เลย ฉันต้องคิดว่าตัวละครจะเดินยังไง พูดยังไง ใส่เสื้อผ้าแบบไหน มีประวัติความเป็นมาอย่างไร ทำไมถึงต้องไปอยู่ตรงนั้นและกำลังจะไปไหน มันกินเวลาฉันเป็นปีก็ว่าได้ นี่เป็นขั้นตอนการทำงานของฉันและเท่าที่ผ่านมา...มันได้ผลดี? เธอย่นจมูกก่อนจะตอบว่า มั้ง

สำหรับ Manchester by the Sea เธอต้องฝึกสำเนียงพูดของคนแถบนั้น ซึ่งค่อนข้างยากในตอนแรก จากนั้นก็แวะไปดูสภาพบ้านเมืองซึ่งเป็นฉากหลังของหนังเพื่อสำรวจชีวิตของผู้หญิงในแถบชายฝั่งตอนเหนือ ถึงขนาดคอยวนเวียนแถวโรงเรียนช่วงเช้าเพื่อดูกิจวัตรของพวกแม่ๆ ตอนมาส่งลูก แม้งานแสดงของเธอจะกวาดเสียงชื่นชมและรางวัลอีกจำนวนไม่น้อยมาครอง แต่เธอกลับยังไม่มีโอกาสได้ดูหนังเต็มๆ ทั้งเรื่องเลย ฉันไม่ค่อยอยากดูเท่าไหร่เธอสารภาพ เพราะฉันเป็นพวกชอบตั้งความหวังไว้สูงเกินไป

โชคดีที่โลเนอร์แกนไม่ได้ขอให้เธอใช้ชีวิตอยู่กับนักแสดงที่เล่นเป็นสามีเธอ เหมือนที่ เดริค เซียนแฟรนซ์ ผู้กำกับ Blue Valentine เสนอให้เธอกับ ไรอัน กอสลิง ทำกิจวัตรร่วมกันแบบเดียวกับคู่รักทั่วไป ไรอันกับฉันแต่งต้นคริสต์มาสกัน นั่งจดบัญชีรายรับรายจ่าย ช่วยกันล้างจาน พาลูกสาวฉันไปเล่นมินิกอล์ฟ เราทะเลาะกัน คืนดีกัน ดูทีวีด้วยกัน เราทำหลายสิ่งด้วยกันซึ่งไม่ปรากฏให้เห็นบนจอหนังเธอเล่า แต่กับโลเนอร์แกน ทุกอย่างที่เธอต้องการอยู่บนหน้ากระดาษหมดแล้ว ลงลึกไปถึงรายละเอียดในทุกตัวอักษร เมื่อถูกถามว่าเขาเคร่งครัดกับบทพูดมากแค่ไหน เธอตอบว่า ใช่ เขาค่อนข้างเคร่งครัด แต่เขาจะเกรงใจมากเวลาต้องคอมเมนต์หลังจบเทคว่า เอ่อ เมื่อกี้คุณลืมหยุดนิ่งตรงจุดที่สองซึ่งเขาคิดถูกแล้วที่ทำแบบนั้น เพราะบทพูดของเขาเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันอยากร่วมงานกับเขา

วิลเลียมส์เริ่มต้นอาชีพนักแสดงตั้งแต่อายุ 10 ขวบ และขอถอนอำนาจปกครองตามกฎหมายจากพ่อแม่ตอนอายุ 15 เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างอิสระ และสร้างชื่อเป็นครั้งแรกจากงานแสดงในซีรีย์ Dawson’s Creek ตอนอายุ 17 ปี แต่การมีอิสระตั้งแต่วัยเยาว์ก็ทำให้เธอโดดเดี่ยวและไม่ค่อยพร้อมรับมือชีวิต ฉันไม่รู้วิธีทำตัวให้อุ่นในหน้าหนาว หรือเย็นในช่วงหน้าร้อนเธอเคยให้สัมภาษณ์เมื่อปี 2012 “ฉันรู้สึกเหมือนมีคนเก็บงำความลับในการดูแลตัวเอง หรือหาสิ่งที่จะช่วยให้คุณสามารถดูแลตัวเองได้เอาไว้แง่มุมเปราะบางของเธอยังคงปรากฏให้เห็นเป็นระยะ โดยเฉพาะเมื่อต้องหลบหนีจากเหล่าปาปาราซซีหลัง ฮีธ เลดเจอร์ เสียชีวิต และทิ้งให้เธอต้องเลี้ยงลูกสาวตามลำพัง

แต่ตอนนี้ในวัย 36 สองทศวรรษหลัง Dawson’s Creek ทุกอย่างดูเหมือนจะดีขึ้นมาก ถึงแม้วิลเลียมส์จะยอมรับว่าเธอไม่เคยมีความมั่นใจกับผลงานที่ทำสักเท่าไหร่ ตรงข้ามกับคนดูส่วนใหญ่ที่มองว่าเธอ คือ หนึ่งในนักแสดงที่เก่งกาจที่สุดของยุคนี้ โดยนอกเหนือจากผลงานแสดงที่เธอถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ทั้งสี่ครั้งแล้ว คุณอาจพิสูจน์ข้อเท็จจริงข้างต้นได้จากหนังสามเรื่องที่เธอร่วมงานกับ เคลลี ไรชาร์ดท์ อย่าง Wendy and Lucy ซึ่งวิลเลียมส์รับบทเป็นผู้หญิงที่ออกตามหาหมาของเธอ Meek’s Cutoff หนังตะวันตกแนวเฟมินิสต์ และล่าสุด Certain Women ซึ่งเธอรับบทภรรยาที่พยายามจะสร้างตัวตนให้เป็นที่ยอมรับ ฉันมักอิจฉานักแสดงคนอื่นที่เคลลีร่วมงานด้วยเธอสารภาพ เมื่อเคลลีตัดสินใจถ่ายหนังเขย่าขวัญ Night Moves วิลเลียมส์เสียใจมากที่เธอไม่ได้มีส่วนร่วม เคลลีบอกว่าฉันแก่เกินไป... ตอนอยู่กองถ่าย Meek’s Cutoff ฉันทำใจไม่ค่อยได้เพราะหนังมีนักแสดงหลายคน ฉันคุ้นเคยกับการทำงานตามลำพังแบบใน Wendy and Lucy ฉันเคยบ่นกับเธอเรื่องนี้ด้วย ฉันคิดถึงตอนที่มีแค่คุณกับฉันและหมาหนึ่งตัวจากนั้นวิลเลียมส์ก็เลียนแบบท่ากรอกตาบนของไรชาร์ดท์ มิเชลล์ ฉันต้องทำงานกับนักแสดงคนอื่น แล้วไหนจะพวกม้าอีก หัดโตซะทีเถอะ

นอกจากไรชาร์ดท์, โลเนอร์แกน, เฮย์นส์ และ เซียนแฟรนซ์แล้ว เธอยังมีโอกาสได้ร่วมงานกับผู้กำกับขั้นเทพอีกหลายคนไม่ว่าจะเป็น มาร์ติน สกอร์เซซี, อัง ลี, ซาราห์ พอลลี และ ชาร์ลี คอฟแมน แถมยังเหลือเวลาพอจะหลบไปเล่นหนังฟอร์มยักษ์ใน Oz the Great and Powerful ได้อย่างไม่ขัดเขิน แต่ถึงอย่างไรเธอก็ไม่เคยพอใจกับอะไรง่ายๆ ฉันรักงานที่ทำนะ แต่ก็พยายามจะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นอยู่ตลอด คอยถามคำถาม และสังเกตดูการทำงานของคนอื่น ตามหาครูสอนและขอเวลาเพื่อพูดคุย ปรึกษาหารือ แต่เรื่องที่ยากที่สุด คือ ความระแวงสงสัยว่าวันนี้ฉันทำได้ดีพอหรือเปล่า คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปไหม เวลาที่ฉันควรจะได้อยู่กับลูกสาว

ทุกวันนี้เธอเล่นหนังไม่มากเท่าไหร่ ราวปีละเรื่อง นั่นทำให้เธอมีเวลาอยู่กับลูกสาววัย 10 ขวบมากขึ้น งานถ่ายทำ Manchester by the Sea คั่นกลางระหว่างงานละครบรอดเวย์สองเรื่อง คือ การรับบท แซลลี โบวส์ ใน Cabaret เป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม (“ทำไมถึงเล่นตั้งหนึ่งปีน่ะเหรอ เพราะฉันเสียสติไง มันแทบจะทำให้ฉันหมดพลังไปเลย”) และการรับบทผู้หญิงที่ต้องเผชิญหน้ากับชายซึ่งข่มขืนเธอตอนเป็นเด็ก (เจฟฟ์ เดเนียลส์) ใน Blackbird “แต่ละงานที่ฉันรับเล่นล่วนเป็นผลมาจากงานก่อนหน้า เพราะงานทุกชิ้นช่วยให้ฉันเติบโต พร้อมสำหรับงานชิ้นต่อไป ทุกอย่างเป็นเหมือนดอกผลจากเมล็ดพันธุ์ในเรื่องก่อน

วิลเลียมส์มองตัวเองว่าเป็นคนประเภท อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้เกิดเธอบอกว่า ฉันไม่เคยพยายามจะเปลี่ยนทุกอย่างให้ได้ดังใจ แค่รับมือกับสิ่งที่เข้ามาเธอกล่าว แต่นั่นอาจยกเว้นบทนำในหนังโรแมนติกรสประหลาดอย่าง Take this Waltz ของ ซาราห์ พอลลี เมื่อปี 2011 ซึ่งวิลเลียมส์บอกว่ายอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เล่น เมื่อถูกถามว่าเธอต้องทำอะไรบ้างเพื่อพิสูจน์ตัวเอง คาดหวังว่าคำตอบคงเป็นวีรกรรมครั้งใหญ่ ซึ่งเสี่ยงต่อความอับอายขายหน้า ฉันต้องขับรถไปถึงโตรอนโตเพื่อทดสอบบท เพื่อนฉันตื่นเต้นมากเพราะรู้ว่ามันมีความหมายกับฉันมากแค่ไหน คนหนึ่งถึงกับไรท์แผ่นซีดีรวมฮิตชื่อ มิเชลล์ขับรถไปโตรอนโต ให้ฉันฟังระหว่างทางสรุปก็คือ เธอแค่ขับรถทางไกลพร้อมกับฟังเพลงไปด้วย แต่เมื่อถูกขับเน้นด้วยน้ำเสียง สีหน้า ลมหายใจขาดห้วง ดวงตาที่เบิกโพรง มันกลับกลายเป็นเหมือนวีรกรรมยิ่งใหญ่... นี่คือพรสวรรค์ที่แท้จริงของ มิเชลล์ วิลเลียมส์ เธอทำให้เรื่องปกติธรรมดากลายเป็นการผจญภัย

ไม่มีความคิดเห็น: