วันศุกร์, มีนาคม 10, 2560

Oscar 2017: Actress in a Leading Role


นาตาลี พอร์ตแมน (Jackie)

เวลาเดินเข้าไปในหอพักนักศึกษา ต้องมีสักห้องเป็นอย่างน้อยที่คุณจะเห็นโปสเตอร์ขาวดำรูป มาริลีน มอนโร, ออเดรย์ เฮปเบิร์น หรือ แจ๊คกี้ เคนเนดี้ แปะอยู่บนฝาผนัง เพราะพวกเธอเหล่านั้นคือไอดอลสุดคลาสสิก ซึ่งเป็นที่จดจำในแง่ความงามเหนืออื่นใด แต่ฝาผนังห้องพักในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดของ นาตาลี พอร์ตแมน ไม่มีโปสเตอร์ใด แปะอยู่เลย มันว่างเปล่า ฉันเป็นพวกจริงจังกับชีวิตเธอกล่าวก่อนจะมองบนใส่ตัวเอง ฉันไม่มีไอดอลในแง่สไตล์ ฉันรัก ออเดรย์ เฮปเบิร์น นะ แต่จากการที่เธอทุ่มเทช่วยเหลือเด็กๆ ให้กับยูนิเซฟน่าตลกตรงที่ในวัย 35 ปี พอร์ตแมนกลับกลายเป็นหนึ่งในไอดอลแห่งความงามทั้งจากการถ่ายโฆษณาให้กับดิออร์ และรสนิยมเป็นเลิศในการเลือกชุดสุดสวยยามต้องเดินเฉิดฉายบนพรมแดงตามรอบปฐมทัศน์หรืองานแจกรางวัล

จริงอยู่เธอไม่ค่อยปลื้มกับด้านนั้นของตัวเองสักเท่าไหร่ ล่าสุดขณะตั้งท้องลูกคนที่สอง เธอมักจะหงุดหงิดที่ต้องเสียเวลามานั่งแต่งหน้าทำผมเพื่อออกงานเดินสายให้สัมภาษณ์ในแต่ละครั้ง เวลาเหล่านั้นที่เสียไปฉันสามารถเอาไปเขียนหนังสือได้เป็นเล่มเลย เธอกล่าว

อย่างไรก็ตาม พอร์ตแมนจำเป็นต้องปลดปล่อยทัศนคติแง่ร้ายเหล่านั้นให้หมดสิ้นในระหว่างถ่ายทำหนังเรื่อง Jackie ซึ่งเล่าเหตุการณ์ในช่วงเวลาไม่กี่วันของอดีตสตรีหมายเลขหนึ่งหลังเหตุลอบสังหารประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี้ หนังพยายามสะท้อนให้เห็นบทบาทของ แจ๊คกี้ เคนเนดี้ ในการสร้างภาพตำนานให้กับสามีเธอระหว่างเตรียมวางแผนจัดงานศพ แต่ขณะเดียวกันมันยังฉายให้เห็นความเป็นเจ้าแม่แฟชั่นของเธอไปพร้อมๆ กันด้วย ผู้กำกับชาวชิลี พาโบล ลาร์เรน รู้สึกว่าความหลงใหลในความงามของเคนเนดี้เป็นแง่มุมสำคัญ และเขามักจะขอให้พอร์ตแมนพูดว่า ฉันรักความงามในแทบทุกฉากของการถ่ายทำ มันไม่ปรากฏให้เห็นในหนัง แต่คนดูจะรู้สึกได้ว่าแจ๊คกี้เป็นคนที่มีความสุนทรีย์ในตัวพอร์ตแมนกล่าว เธอชื่นชอบเสื้อผ้า ธรรมชาติ ศิลปะ และดนตรี ซึ่งล้วนมีส่วนช่วยให้คุณรู้สึกเชื่อมโยงกับบางสิ่ง ทำให้คุณมองเห็นโลกเป็นสิ่งสวยงาม เต็มไปด้วยความน่าอัศจรรย์ใจ แม้กระทั่งในยามที่คุณต้องเผชิญเหตุการณ์เลวร้าย

หนึ่งสัปดาห์ก่อน Jackie จะเริ่มเปิดกล้องในปารีส เกิดเหตุก่อการณ์ร้ายหลายจุด ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 130 คน ขณะนั้นพอร์ตแมนอาศัยอยู่ในปารีสมาได้สองสามปีแล้ว หลังสามีของเธอ เบนจามิน มิลล์เพด์ รับตำแหน่งผู้ควบคุมคณะ ปารีส โอเปรา บัลเลต์ เธอสัมผัสได้ถึงบรรยายกาศที่เปลี่ยนแปลง คนทั้งเมืองอยู่ในภาวะตะลึงงันเธอรำลึกความหลัง มีตำรวจลาดตระเวนทั่วทุกมุมเมือง ผู้คนหวาดกลัวที่จะออกนอกบ้านเธอไม่แน่ใจว่าการเริ่มต้นถ่ายหนังในช่วงเวลานี้เป็นเรื่องเหมาะสมหรือไม่ แต่แล้วเธอก็หวนนึกถึงแก่นหลักของหนัง นั่นคือ เรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่พยายามรวบรวมสติหลังโศกนาฏกรรมเพื่อช่วยประคับประคองประเทศให้เดินหน้าต่อไป การจู่โจมปารีสทำให้พวกเราตระหนักถึงความตระหนก โศกเศร้าของประเทศหลังเหตุไม่คาดฝันพอร์ตแมนกล่าว การตัดสินใจเดินร่วมขบวนศพของสามีเธอไปตามถนนโดยไม่หวั่นเกรงเปรียบเหมือนเธอพยายามจะบอกว่า ฉันไม่กลัวพวกแกซึ่งทั้งหมดนั้นก็เพื่อปลุกขวัญ สร้างกำลังใจให้กับประชาชน

การเดินทางของพอร์ตแมนกับ Jackie เริ่มต้นในกรุงปารีส เมื่อเธอพบลาร์เรนครั้งแรกในร้านอาหาร เธอรู้จักโครงการนี้มา 5 ปีแล้วหลัง ดาร์เรน อาโรนอฟสกี้ ผู้กำกับที่ช่วยให้เธอคว้าออสการ์มาครองจากหนังเรื่อง Black Swan ส่งบทให้เธออ่าน แรกทีเดียวอาโรนอฟสกี้วางแผนจะกำกับเองโดยให้ ราเชล ไวซ์ รับบทนำ แต่เขาตัดสินใจย้ายมานั่งเก้าอี้ผู้อำนวยการสร้าง แล้วขอให้พอร์ตแมนสวมบทบาทแทนอดีตคู่หมั้นของเขา แต่นักแสดงสาวค่อนข้างลังเล การรับบทเป็นคนดังที่ทุกคนรู้จักก็เหมือนหาเรื่องใส่ตัวเธออธิบาย มันเป็นดินแดนอันตรายแต่เธอเปลี่ยนความคิดหลังอาโรนอฟสกี้แนะนำลาร์เรน ซึ่งกำกับหนังเรื่อง The Club ที่อาโรนอฟสกี้ได้ชมขณะเป็นกรรมการตัดสินเทศกาลหนังเมืองเบอร์ลินปี 2015 “ผมเจอเธอที่ปารีสและบอกเธอว่าผมจะรับกำกับหนังเรื่องนี้ก็ต่อเมื่อเธอตกลงรับเล่น ผมนึกภาพคนอื่นรับบทนี้ไม่ได้ ไม่มีใครจะดูลึกลับและสง่างามเท่าเธออีกแล้วนอกจากนี้ ลาร์เรนยังบอกเธอด้วยว่าเขาจะขอให้คนเขียนบท โนอาห์ ออพเพนไฮม์ ตัดทุกฉากที่ไม่มีแจ๊คกี้อยู่ออกให้หมด ผมจำได้ว่าดวงตาเธอเบิกโพรง มันคงเป็นเรื่องน่ากลัวไม่น้อยสำหรับนักแสดง แต่ในเวลาเดียวกันก็เป็นความท้าทายครั้งใหญ่ และนาตาลีเป็นศิลปินตัวจริง เธอชื่นชอบความเสี่ยง

สี่เดือนหลังคว้าออสการ์มาครองพอร์ตแมนก็คลอดลูกคนแรก นั่นทำให้เธอไม่เหลือเวลากังวลว่าควรจะเล่นหนังอะไรเป็นเรื่องถัดไปดี ต้องเรียกว่าฉันโชคดีที่ชีวิตมีเรื่องอื่นให้ครุ่นคิดนักแสดงสาวผู้เข้าชิงออสการ์เป็นครั้งแรกจาก Closer (2004) กล่าว อาชีพของเธอหลังออสการ์ถือได้ว่ามีขึ้นมีลงไม่ต่างจากรถไฟเหาะ เธอนำแสดงในหนังฟอร์มยักษ์ของมาร์เวลอย่าง Thor ได้ร่วมงานกับ เทอร์เรนซ์ มาลิค ใน Knight of Cups กำกับหนังครั้งแรกเรื่อง A Tale of Love and Darkness และนำแสดงใน Jane Got a Gun หนังซึ่งเต็มไปด้วยปัญหาวุ่นวาย ตามมาด้วยการฟ้องร้อง หลังผู้กำกับหญิง ลินน์ แรมเซย์ ถอนตัวอย่างกะทันหัน

ประวัติศาสตร์ทำให้แจ๊คกี้เป็นตำนาน แต่พอร์ตแมนต้องการค้นหาแง่มุมมนุษย์ของหญิงสาวที่ต้องสูญเสียสามีไปอย่างโหดเหี้ยม เธอลึกลับอย่างน่าประหลาด และผมคิดว่านาตาลีมีลักษณะเช่นนั้นปรากฏชัดในแววตา นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงเลือกใช้ภาพโคลสอัพบ่อยครั้งลาร์เรนน์กล่าว พอร์ตแมนใช้เวลาหลายเดือนค้นคว้าเกี่ยวกับเคนเนดี้ ซื้อหนังสือทุกเล่มที่หาได้จากอเมซอน อ่านบทสัมภาษณ์โดยนักประวัติศาสตร์ อาร์เธอร์ เอ็ม ชเลซิงเกอร์ จูเนียร์อย่างละเอียดทุกตัวอักษร เธอร่วมงานกับโค้ชฝึกสำเนียง ทันยา บลัมสไตน์ เพื่อเลียนแบบน้ำเสียงและสำเนียงการพูดอันเป็นเอกลักษณ์ของ แจ๊คกี้ เคนเนดี้ โดยแหล่งอ้างอิงหลัก คือ รายการทีวีพาทัวร์ทำเนียบขาวซึ่งเคนเนดี้ถ่ายไว้ในปี 1962 ลาร์เรนบอกกับพอร์ตแมนว่าเขาวางแผนจะตัดสลับฟุตเตจจริงยาว 2 ชม. เข้ากับการแสดงของพอร์ตแมน ส่งผลให้เธอต้องศึกษาคลิปพาทัวร์แบบทุกซอกทุกมุมเพื่อให้รอยต่อแนบเนียนมากที่สุด เราเจาะลึกในทุกคำพูด เช่น เน้นตัว พี ในคำนี้หรือ อย่าออกเสียง อาร์ ในตอนท้ายของคำนี้ พอร์ตแมนเล่า

ความทุ่มเทดังกล่าวได้ผลดีเยี่ยม อาโรนอฟสกี้บอกว่าตอนดูฟุตเตจที่ถ่ายเสร็จในแต่ละวัน หลายคนในกองถ่ายเห็นพ้องตรงกันว่าน้ำเสียงของพอร์ตแมนกับเคนเนดี้ฟังดูเป๊ะจนเกือบจะ มากเกินไปด้วยซ้ำ แต่แน่นอนบรรดานักวิจารณ์กลับไม่คิดว่ามันมากเกินไป เพราะงานแสดงของเธอกวาดคำชมสุดหรูมาตั้งแต่หนังเปิดตัวในเวนิซ ก่อนจะเดินหน้ากวาดรางวัลนักวิจารณ์หลายสถาบันมาครองในเวลาต่อมา และอาจปิดท้ายด้วยการคว้ารางวัลออสการ์ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า


เอ็มมา สโตน (La La Land)

บุคลิกน่ารัก เป็นมิตรของ เอ็มมา สโตน ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจสำหรับใครก็ตามที่เคยผ่านตาผลงานของเธอมาบ้าง สโตนเป็นดาราที่สามารถล่อหลอกคนดูให้หลงลืมไปชั่วขณะว่าเธอเป็นดารา เธอจริงใจ ไม่มีจริตจะก้าน แถมยังฉลาดเป็นกรดโจนาห์ ฮิลส์ ซึ่งเคยร่วมงานกับเธอใน Superbad กล่าว หลายครั้งสโตนมักถูกนำไปเปรียบเทียบกับฮีโร่ในดวงใจของเธอ ไดแอน คีตัน และนั่นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกเช่นกัน เพราะทั้งคู่ล้วนหน้าตาสะสวย เป็นคนตลก แถมยังเคยเล่นหนังให้กับ วู้ดดี้ อัลเลน มากกว่าหนึ่งครั้ง แต่ความบ้าบิ่นและอารมณ์ขันเชิงเยาะหยันทำให้ บุคลิกคนดีของเธอดูไม่น่าเบื่อ แต่ชวนให้หลงใหล ไม่ต่างจากฮีโร่อีกคนของสโตน นั่นคือ ทอม แฮงส์ เธอเคยไปทดสอบบทหนังเรื่อง Larry Crowne เมื่อปี 2011 ไม่ใช่เพราะชอบบท แต่เพราะชอบแฮงส์ เธอไม่ได้บท แต่ปีนั้นเธอได้แสดงนำใน The Help แล้วโผล่มาขโมยซีนใน Friend with Benefits และ Crazy, Stupid, Love ฉะนั้นจะเรียกว่ามันเป็นปีที่น่าผิดหวังก็คงไม่ถูกซะทีเดียว

การนั่งดูเธอยกระดับหนังอย่าง Superbad, Easy A, Zombieland และ The Amazing Spider-Man ตลอดระยะเวลาหลายปีทำให้เราค้นพบว่าเสน่ห์อย่างหนึ่งของ เอ็มมา สโตน อยู่ตรงเธอที่ดูเหมือนจะสนุกกับสิ่งที่ทำอยู่โดยไม่ตระหนักแม้สักนิดว่าทุกคนกำลังจับจ้องเธออยู่

สโตนอาศัยอยู่ในนิวยอร์กและใช้เวลาส่วนใหญ่ (ถ้าไม่อยู่ในกองถ่าย) หมดไปกับการบริหารทักษะการแสดงด้วยการเล่นละครเวที หรือไม่ก็นั่งดูหนังอยู่บ้านกับเพื่อนๆ อย่าง มาร์ธา แม็กแซ็ก และ เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ถ้าไม่ไปเที่ยวกัน เราก็จะขลุกอยู่ในบ้านสโตนกล่าว เดือนก่อนฉันไปบ้านเจน แล้วเราก็นั่งดูหนังเรื่อง Hocus Pocusแต่ตอนนี้สโตนต้องเดินสายอยู่ในแอลเพื่อโปรโมต La La Land หนังเพลงชั้นยอด ซึ่งเธอรับบทหญิงสาวผู้ฝันอยากเป็นนักแสดง แต่กำลังดำดิ่งสู่ก้นบึ้งแห่งความสิ้นหวังหลังถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า หนังถ่ายทอดวิวทิวทัศน์แอลเอด้วยสายตาโรแมนติกแบบเดียวกับนิวยอร์กในหนังของ วู้ดดี้ อัลเลน นอกจากนี้มันยังผสมผสานยุคคลาสสิกของฮอลลีวู้ดเข้ากับอารมณ์ร่วมสมัยได้อย่างน่าทึ่ง ผมต้องการคนที่จะทำให้หนังเพลงตามขนบโบราณแลดูทันสมัย เข้าถึงคนรุ่นใหม่ที่ไม่ชอบดูหนังเพลงเดเมียน ชาเซลล์ ผู้กำกับ La La Land กล่าว เอ็มมาเป็นนักแสดงที่โมเดิร์นมาก แต่ก็มีความอมตะ ไร้กาลเวลาอยู่ในตัว

นักแสดงสาว เอมิลี สโตน (เธอเปลี่ยนชื่อเป็นเอ็มมาตอนเข้าร่วมสมาพันธ์นักแสดงแห่งอเมริกา แล้วพบว่ามีคนชื่อ เอมิลี สโตน อยู่แล้ว) ที่เพิ่งจะอายุครบ 28 ปีเริ่มต้นเส้นทางสายมายาตั้งแต่อายุ 6 ขวบ ในละครเพลงของโรงเรียนเรื่อง No Turkey for Perky เธอเติบโตมาในเมืองสก็อตส์เดล มีพ่อเป็นช่างรับเหมา แม่เป็นแม่บ้าน พ่อฉันเริ่มต้นตั้งบริษัทของตัวเองสโตนเล่า เราต้องกระเบียดกระเสียนจนกระทั่งฉันอายุ 8 ขวบ ไม่ใช่ว่าเรายากจนข้นแค้นหรืออะไร แต่แค่อยู่รอดแบบเดือนชนเดือน จนกระทั่งบริษัทของพ่อประสบความสำเร็จ

สโตนไม่เคยปิดบังว่าเธอชื่นชอบผลงานของ จอห์น แคนดี้ ในหนังเรื่อง Planes, Trains and Automobiles ซึ่งเธอยกย่องให้เป็น ผลงานแสดงที่ฉันโปรดปรานที่สุดตลอดกาล เขาทำสิ่งมหัศจรรย์แบบเดียวกับ เชอร์ลีย์ แม็คเคลน ใน The Apartment และ จีน ไวล์เดอร์ ในหนังแทบทุกเรื่อง นั่นคือ ผสมอารมณ์ขันเข้ากับความเศร้า นั่นล่ะชีวิตเธอหลงใหลงานแสดงตั้งแต่เด็ก เริ่มต้นเล่นละคร และเข้าเรียนการแสดงกับครูสอนแอ็กติ้งในท้องถิ่น ซึ่งเป็นคนช่วยให้สโตนได้มีเอเยนต์ เธอบอกพ่อกับแม่ว่าจะออกจากโรงเรียน ย้ายไปแอลเอ และพยายามหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นนักแสดงตอนอายุได้แค่ 14 ปี โดยนำเสนอแผนการด้วยโปรแกรมพาวเวอร์พอยต์ ตั้งชื่อว่า โครงการฮอลลีวู้ด

มกราคม 2004 สโตนกับแม่ก็ย้ายไปอยู่อพาร์ตเมนต์ทางตอนใต้ของฮอลลีวู้ด ฉันได้ไปทดสอบบทอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาสามเดือน แต่ไม่เคยได้งานเลยสักชิ้น จากนั้นเอเยนต์ก็เลิกส่งโปรไฟล์ฉันแต่สโตน เช่นเดียวกับตัวละครที่เธอรับเล่นใน La La Land ยังคงไม่ยอมแพ้ เธอเลือกทำงานในร้านเบเกอรีสำหรับสุนัขเพื่อหารายได้ประทังชีวิต หนึ่งคนที่คอยให้กำลังใจเธอเสมอ คือ อัลลิสัน โจนส์ หัวหน้าฝ่ายแคสติ้งที่ช่วยผลักดันให้ เจมส์ ฟรังโก้, โจนาห์ ฮิล และ เซ็ธ โลแกน โด่งดังเป็นที่รู้จัก ฉันไปทดสอบบทกับอัลลิสันอยู่สามปีสโตนกล่าว จนกระทั่งวันหนึ่งตอนเย็นวันศุกร์ เธอโทรมาขอให้ฉันเข้าไปอัดเทปออดิชั่นหนังเรื่องหนึ่ง มันคือเรื่อง Superbad

หลังจากเริ่มโด่งดังเป็นที่รู้จักในบทตลก สโตน เช่นเดียวกับฮิล พยายามเพิ่มทางเลือกให้ตัวเองด้วยการรับเล่นหนังดรามาอย่าง The Help และ Birdman โดยเรื่องหลังทำให้เธอถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เป็นครั้งแรกในสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม มันถือเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่เธอรับบทเป็นคนเหลวแหลก (ในเรื่องเธอเป็นลูกสาวขี้ยาของ ไมเคิล คีตัน) La La Land เช่นเดียวกับ Birdman ไม่เพียงเรียกร้องให้สโตนต้องเปลือยอารมณ์ตัวละครอย่างสมจริงเท่านั้น แต่ยังเรียกร้องทักษะ การเคลื่อนไหวที่แม่นยำด้วยเนื่องจากมันเต็มไปด้วยการถ่ายทำแบบ long take ชาเซลล์เล่าว่าตอนที่ได้รับข้อเสนอให้รับบทนี้ เธอถามก่อนเลยว่าจะมีเวลาให้เตรียมตัวนานแค่ไหน เพราะเธอไม่อยากทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ เธออยากมีเวลาเรียนเต้นแท็ปให้เป็น ไม่ใช่โกงคนดูด้วยการมุมกล้อง หรือภาพโคลสอัพ ความทุ่มเทดังกล่าวต้องยกระดับขึ้นไปอีกขั้นในหนังเรื่องต่อมา Battle of the Sexes เมื่อเธอรับบทเป็นนักเทนนิสหญิงระดับโลก บิลลี จีน คิง ฉันต้องเพิ่มกล้ามเนื้อ 15 ปอนด์และเข้าคอร์สเล่นเวทอย่างหนักสโตนเล่า พร้อมกับยกแขนขึ้นมาพยายามเบ่งกล้ามโชว์ แต่ตอนนี้ไม่เหลือแล้ว


อิสซาเบล อูแปต์ (Elle)

ในหนังเรื่อง Elle ของ พอล เวอร์โฮเวน มีฉากที่มิเชล ตัวละครเอก ถึงจุดสุดยอดอย่างคาดไม่ถึงอยู่สองฉากด้วยกัน และทั้งสองฉากนั้นบรรลุจุดสุดยอดอย่างคาดไม่ถึงเนื่องมาจากการแสดงอันน่าพิศวงของ อิสซาเบล อูแปต์ นักแสดงสาวผู้ได้รับสมญานามว่า เมอรีล สตรีพ แห่งฝรั่งเศส มิเชลเป็นผู้บริหารบริษัทวิดีโอเกม เธอมีพ่อเป็นฆาตกรโรคจิตอยู่ในคุก มีแม่ที่หมกมุ่นเรื่องเพศ มีอดีตสามีเป็นนักเขียนตกอับ และลูกชายซึ่งทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แต่เหนืออื่นใดเธอเป็นผู้หญิงที่ค้นพบความสุขสันต์จากเหตุการณ์สุดสะพรึง เมื่อวันหนึ่งโจรบุกเข้ามาข่มขืนเธอถึงในบ้าน นอกเหนือจากอูแปต์แล้ว คงเป็นเรื่องยากที่จะหานักแสดงหญิงสักคนมาเล่นบทหฤโหดแบบนี้โดยยังคงรักษาศักดิ์ศรี ความลึก และอารมณ์ขันของตัวละครได้อย่างครบถ้วน

แต่อย่าเข้าใจผิดไป Elle ไม่ได้ต้องการจะสร้างความชอบธรรมหรือเชิดชูการข่มขืน หรือชี้แนะให้เหยื่ออย่าโทรแจ้งตำรวจ แล้วเชิญคนร้ายมาร่วมทานอาหารเย็นกับครอบครัวในแบบที่มิเชลทำ ตรงกันข้าม หนังต้องการจะพาคนดูไปสำรวจความลึกลับดำมืดแห่งจิตใจมนุษย์ ซึ่งบางครั้งก็ซับซ้อนจนยากหยั่งถึง นี่ถือเป็นการคืนฟอร์มครั้งสำคัญของผู้กำกับ พอล เวอร์โฮเวน (Basic Instinct, RoboCop) ซึ่งบิดเบือนตระกูลหนังจนคนดูคาดไม่ถึง และมอบโอกาสให้อูแปต์ใช้ทักษะการแสดงอันเยี่ยมยอดของเธอพาคนดูไปสัมผัสตัวละครในแง่มุมที่ไม่มีนักแสดงคนใดจะสามารถทำได้ เมื่อคุณได้ดู Elle คุณจะเข้าใจว่าทำไม ซูซาน ซอนแท็ก ถึงเคยเรียกอูแปต์ว่าเป็น ศิลปินตัวจริง ก่อนจะเสริมว่าเธอไม่เคยเจอนักแสดงคนไหนฉลาดเท่าเธอมาก่อน

แน่นอน หนังให้ความรู้สึกแบบ ยูโรเปียนค่อนข้างชัดเจนจากเส้นแบ่งทางศีลธรรมอันพร่าเลือนและซับซ้อน เวอร์โฮเวนอยากจะทำหนังเรื่องนี้ในฮอลลีวู้ด แต่นักแสดงสาวชาวอเมริกัน 5-6 คนปฏิเสธที่จะรับบทนี้ ซึ่งเขาคิดว่าคงเป็นเพราะมันไม่ได้ดำเนินตามขนบหนังแก้แค้นแบบที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคย แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับอูแปต์ ซึ่งเชี่ยวชาญบทอื้อฉาวมาตลอด หรือหากพูดได้ว่าเธอเติบใหญ่ สร้างชื่อเสียงมาจากบททำนองนี้ก็คงไม่ผิดนัก ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเซ็กซ์ร่วมสายเลือด (Ma Mere) หรือซาโดมาโซคิสม์ (The Piano Teacher) ซึ่งเรื่องหลังทำให้เธอคว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงจากเทศกาลหนังเมืองคานส์มาครอง นับจากผลงานเรื่องแรกในปี 1971 อูแปต์เล่นหนังมาแล้วมากกว่า 100 เรื่อง และได้ร่วมงานกับผู้กำกับระดับแนวหน้ามากมาย ไม่ว่าจะเป็น คล็อด ชาโบล, แคลร์ เดอนีส์, เคอร์ติส แฮนสัน, ฮัล ฮาร์ทลีย์, ไมเคิล ฮาเนเก้ และ ฟรังซัวส์ โอซง

เวอร์โฮเวนอธิบายอูแปต์ว่าเป็นนักแสดงในสไตล์ แบร์ทอลท์ เบรคชท์ จากการรักษาระยะห่างระหว่างเธอกับคนดู ไม่พยายามหลอกล่อให้คนดูรู้สึกเห็นอกเห็นใจ นั่นเป็นคุณสมบัติแบบที่ผู้กำกับและคนดูในยุโรปชื่นชอบ แต่อาจดูเป็นเรื่องแปลกสำหรับคนอเมริกัน หรือคนที่คุ้นเคยแต่กับหนังฮอลลีวู้ด อูแปต์หลงรักหนังอเมริกัน แต่ลักษณะความคิดของเธอเป็นชาวยุโรปอย่างเห็นได้ชัด บางครั้งเวลาฉันดูนักแสดงอเมริกัน ฉันจะพูดกับตัวเองว่า พวกเขาพลาดบางสิ่งบางอย่างไป นั่นคือ ความกล้าที่จะปล่อยวาง หรือไม่แสดงอารมณ์ชี้นำ หรือกระทั่งความกล้าที่จะแสดงปฏิกิริยาอันคลุมเครือ ตรงข้ามกับความคาดหวังของผู้ชม พร้อมกันนั้นเธอได้ยกตัวอย่างฉากหนึ่งใน Things to Come ซึ่งเป็นผลงานชั้นยอดของเธออีกเรื่องที่ออกฉายปีนี้ ในฉากดังกล่าวตัวละครที่เธอรับเล่นแอบเห็นสามีกำลังควงคู่กับแฟนคนใหม่จากหน้าต่างรถบัส สิ่งที่อูแปต์ทำ คือ หลุดหัวเราะออกมา

อูแปต์ขึ้นชื่อว่าหวงแหนความเป็นส่วนตัวเหนืออื่นใด เธอจะไม่พูดคุยกับสื่อนอกเหนือจากเรื่องหนังที่เธอแสดง และถ้ามีความเชื่อมโยงใดๆ ในชีวิตจริงกับบทที่เธอเล่นก็คงมีแต่เธอเท่านั้นที่รู้ เธอเติบโตมาในครอบครัวชนชั้นกลางมีเงินในกรุงปารีส เธอเป็นลูกคนเล็กและมีพี่ทั้งหมด 4 คน แม่สนับสนุนให้เธอไล่ตามความฝันของการเป็นนักแสดง สมัครเธอเข้าโรงเรียนสอนการแสดงตั้งแต่เธออายุได้ 14 ปี พ่อเธอผลิตตู้นิรภัยขาย ซึ่งเธอมองเป็นเรื่องน่าขันอยู่ในที ทุกครอบครัวล้วนมีความลับเธอกล่าว บางครั้งพวกเราจะได้ตู้นิรภัยจำลองเป็นของขวัญคริสต์มาสเธอกับคู่ชีวิต โรนัลด์ แชมมาห์ ผู้อำนวยการสร้าง/ผู้กำกับหนัง มีลูกด้วยกันทั้งหมดสามคน ลูกสาวของพวกเขา โลลิต้า แชมมาห์ มีอาชีพนักแสดงและเคยเล่นหนังกับแม่สองเรื่อง

ผู้กำกับส่วนใหญ่หลงใหลอูแปต์จากความสามารถสะท้อนแง่มุมซับซ้อนของตัวละครด้วยวิธีอันเป็นเอกลักษณ์ หลังจากโดนข่มขืน มิเชลเจอคนร้ายอีกครั้งในวันถัดมา เธอไม่ได้แสดงท่าทีหวาดวิตก หรือตกใจ แต่กลับดูสงบนิ่งอย่างน่าประหลาด ในหนังหลายเรื่องอูแปต์ทำให้คนดูรู้สึกว่าตัวละครกำลังสำรวจตัวเองไปพร้อมกับคนดู นั่นล่ะความงามในการแสดงของเธอ เธอค้นพบตัวเองไปพร้อมๆ กันและไม่กลัวที่จะรู้สึกแบบนั้นเวอร์โฮเวนกล่าว ผมคิดว่าการแสดงของเธอเป็นความลึกลับอย่างหนึ่ง ผมไม่เคยเห็นนักแสดงคนไหน ไม่ว่าชายหรือหญิง สามารถเติมอารมณ์ ความซับซ้อนเกินกว่าที่ปรากฏในบทได้มากเท่าเธอเวอร์โฮเวนยังจำวันที่เขาถ่ายช็อตสุดท้ายของหนังได้แม่นยำ ทันทีที่เขาสั่งคัต อูแปต์ก็ล้มลงนอนดิ้นกับพื้นเหมือนพยายามจะลอกคราบตัวละครออกไป ทุกคนในกองถ่ายตื่นตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเวอร์โฮเวนกล่าว มันเป็นเหมือนการไล่ผีออกจากร่าง

อูแปต์บอกเคล็ดลับในการเข้าถึงบทมิเชลว่า ฉันเองก็ไม่เข้าใจตัวละครระหว่างถ่ายทำ แต่ฉันคิดว่านั่นเป็นแก่นของตัวละครตัวนี้การไม่เข้าใจ (หรือพยายามทำความเข้าใจ) ตัวละครอย่างแท้จริงทำให้เธอหลีกเลี่ยงการเดินซ้ำรอย แล้วนำพาตัวละครไปสู่ภาพลักษณ์อันคุ้นเคย แบนราบ เทคนิคดังกล่าวได้ผลอย่างยอดเยี่ยมเพราะ ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่ามิเชลรู้หรือไม่ว่าเธอต้องการอะไร เธอทำทุกอย่างตามสัญชาตญาณไม่ต่างจากคนตาบอดที่กำลังคลำหาทาง


เมอรีล สตรีพ (Florence Foster Jenkins)

ในผลงานกำกับชิ้นล่าสุดของ สตีเวน เฟรียร์ส เรื่อง Florence Foster Jenkins เมอรีล สตรีพ ผู้รับบทเป็นสาวสังคมนิวยอร์กที่ใฝ่ฝันอยากร้องเพลงโอเปรา เล่าว่าคำพูดเด็ดสุดของหนังเป็นตอนที่ฟลอเรนซ์พูดว่า “ใครจะหาว่าฉันร้องเพลงไม่เป็นก็เชิญตามสบาย แต่พวกเขาไม่อาจพูดได้ว่าฉันไม่เคยร้องเพลงสำหรับสตรีพ “นั่นล่ะคือประเด็นของเรื่องราวทั้งหมดเธอกล่าว การกล้าที่จะลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง เดินตามความฝัน ทำในสิ่งที่คุณรัก สิ่งที่คุณมีความสุขเมื่อได้ทำ และหวังว่าคุณจะถูกห้อมล้อมด้วยความรักแบบเดียวกับฟลอเรนซ์ เธออยู่ในดักแด้แห่งความรักขณะที่บางคนอาจมองว่าเธอหลอกตัวเอง หรือกระทั่งหลงตัวเองจนมองไม่เห็นความเป็นจริง

ในฐานะนักแสดงที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดคนหนึ่งในโลก ทำสถิติเข้าชิงออสการ์มากถึง 20 ครั้ง โดยคว้ามาได้สามครั้งจาก Kramer vs. Kramer, Sophie’s Choice และ The Iron Lady สตรีพน่าจะเข้าใจภาวะการถูกล้อมรอบด้วยความรักได้ดีที่สุดคนหนึ่ง ตัวจริงของ ฟลอเรนซ์ ฟอสเตอร์ (1868-1944) เป็นเศรษฐีนีชาวเพนซิลเวเนียที่ตกหลุมรักเสียงดนตรีตั้งแต่วัยเยาว์ เธอเริ่มต้นฝึกฝนเล่นเปียโน แต่อาการบาดเจ็บที่แขนทำให้ความฝันของเธอต้องพลันสลาย ต่อมาเธอได้ก่อตั้งสมาคมคนรักดนตรีและแต่งงานกับ แฟรงค์ เจนกินส์ ซึ่งแพร่เชื้อซิฟิลิสแถมมาให้ เธอจึงตัดสินใจทิ้งเขาและไม่เคยพูดกับเขาอีกเลย จากนั้นเธอก็หันมาคบหากับ เซนต์แคลร์ เบย์ฟิลด์ (ในหนังรับบทโดย ฮิวจ์ แกรนท์ ซึ่งอายุน้อยกว่าสตรีพ 11 ปี ขณะที่เซนต์แคลร์ตัวจริงอ่อนกว่าฟลอเรนซ์ 23 ปี) นักแสดงละครเชคสเปียร์ ซึ่งกลายมาเป็นผู้จัดการเธอ ทั้งสองอยู่คนละบ้าน และเขาเองก็มีเมียน้อย แต่เบย์ฟิลด์ถือเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของฟลอเรนซ์ และที่สำคัญเป็นคนคอยปิดบังข้อเท็จจริงที่ว่าเสียงร้องเธอไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่

ฉันแก่พอจะจำนักร้องยุค 60 ที่ชื่อมิสซิสมิลเลอร์ได้สตรีพเล่า “เธอชอบร้องเพลงฮิตในยุคนั้นอย่าง Downtownของ เพทูลา คลาร์ค และเสียงร้องเธอค่อนข้าง... แปร่ง อย่างไรก็ตาม เธอคงคิดว่าตัวเองเป็นนักร้องเสียงดี อัลบั้มแรกของเธอชื่อ ‘รวมเพลงฮิตของมิสซิสมิลเลอร์ฉันคิดว่าเธอคงทำเอาสนุก พอขำๆ กันไป แต่ฉันก็นึกอยากรู้ว่าเธอคิดอย่างไรกับอาชีพนักร้องของตัวเองหลังเวลาผ่านไป” ส่วนในกรณีของฟลอเรนซ์นั้นเธอเชื่อว่าเสียงร้องของเธอน่าจะช่วยปลุกขวัญกำลังใจให้กองทหารอเมริกันในช่วงเวลาที่สงครามโลกครั้งที่สองได้ เซนต์แคลร์จึงจ้าง คอสมี แม็คมูน (ไซมอน เฮลเบิร์ก) มาเป็นนักเปียโนประจำตัว ทันทีที่ได้ยินเสียงร้องเธอ เขาสะพรึงจนพูดไม่ออก เซนต์แคลร์โน้มน้าวเขาให้หุบปากเงียบไว้ ปล่อยให้เธอเชื่อว่าตัวเองสามารถเป็นนักร้องได้ จากนั้นเขากับคอสมีก็เริ่มแต่งเพลงให้เธอ มีเพลงหนึ่งหลุดไปออกอากาศทางสถานีวิทยุ แต่ผู้ฟังส่วนใหญ่คิดว่ามันคงเป็นเพลงที่ตั้งใจเอาฮามากกว่าจริงจัง “เซนต์แคลร์กับคอสมีเป็นเหมือนเสาหลักที่คอยพยุงฟลอเรนซ์เฮลเบิร์กกล่าว “นอกเหนือจากความรักต่อเสียงเพลงและแรงปรารถนาที่จะมอบของขวัญให้กับคนทั้งโลกผ่านเสียงร้องของเธอ

เฮลเบิร์ก นักแสดงหนุ่มวัย 35 ปี โด่งดังเป็นที่รู้จักจากซิทคอมสุดฮิตเรื่อง The Big Bang Theory มองว่า Florence Foster Jenkins เป็นโอกาสที่หาไม่ได้ง่ายๆ “ผมไม่เคยคาดหวังชื่อเสียงโด่งดังในวงการนี้ ผมเป็นแค่นักแสดงตัวประกอบเขากล่าว “และผมก็ไม่นึกไม่ฝันว่าหนังจะทำเงินได้มากอย่างที่เห็น ความคิดว่าหนังจะดังหรือดับไม่เคยอยู่ในหัวผม ผมแค่อยากมีโอกาสได้ร่วมงานกับ เมอรีล สตรีพ ต่อให้ต้องเล่นเป็นคนทำเล็บให้เธอผมก็ยอม อย่าว่าแต่เป็นนักเปียโนเลย ผมปลื้มเธอมากตั้งแต่ก่อนจะได้ร่วมงานกันแล้ว และตอนนี้ก็ยิ่งปลื้มหนักขึ้นไปอีก

นักเรียนดนตรี หรือคนที่ชื่นชอบเสียงเพลงแทบทุกคนรู้จักฟลอเรนซ์ และต่างก็มีเรื่องเล่าถึงประสบการณ์ตอนที่ได้ยินเสียงร้องเธอเป็นครั้งแรก สตรีพคือหนึ่งในนั้น “จะเรียกเธอเป็นตำนานก็ว่าได้ ตอนนั้นฉันเรียนอยู่มหาวิทยาลัย กำลังซ้อมละครเรื่อง A Midsummer Night’s Dream”  เธอย้อนรำลึก “ฉันเห็นพวกเด็กเอกดนตรีจับกลุ่มล้อมวงกันรอบเครื่องเล่นเทป กรีดร้อง หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ฉันคิดในใจว่าพวกเขาฟังอะไรกันอยู่เนี่ยทุกวันนี้คุณยังสามารถหาฟังเสียงร้องของเธอได้ไม่ยากจากอัลบั้มหลากหลาย โดยมากเป็นเพลงโอเปราคลาสสิกของโมสาร์ทบ้าง สเตราส์บ้าง แต่เสียงหัวเราะไม่ได้เกิดจากการร้องเพลงผิดคีย์เท่านั้น สตรีพ ซึ่งผ่านประสบการณ์ร้องเพลงในหนังมาแล้วจาก Mamma Mia บอกว่าเธอต้องฝึกร้องห่วยในรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ การผสมผสานความสยองเข้ากับความตลก เช่นเดียวกับประกายความงามในบางช่วงขณะไม่ใช่เรื่องง่าย

ฉันคิดว่าตัวเองเป็นนักร้องเกรด บางครั้งอาจลงต่ำไปขั้น B- บางครั้งก็สูงไปขั้น B+ แต่ส่วนใหญ่ฉันจะวนเวียนอยู่ระดับนี้ ฉันตระหนักดีถึงข้อจำกัดและขอบเขตพรสวรรค์ในการร้องเพลงของตัวเอง” เธอกล่าว “ตอนเด็กฉันเคยเรียนร้องเพลงโอเปรา แต่ก็ถอดใจไปในที่สุด ฉันทำลายเสียงตัวเองจากการสูบบุหรี่ กินเหล้า และพฤติกรรมใจแตกอื่นๆ ตอนสมัยยังเป็นวัยรุ่น เพราะงั้นฉันถึงรู้สึกนับถือเหล่านักร้องชั้นยอดทั้งหลาย” การรับบทฟลอเรนซ์ทำให้สตรีพต้องพยายามจับแก่นในเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอ “เธอจะร้องติด ในคีย์เสียงยากๆ ระดับที่ มาเรีย คัลลัส ยังมีปัญหา กุญแจสำคัญที่ฉันกับไซมอนค้นพบ คือ เธอร้องด้วยความหวังว่าจะไปได้ตลอดรอดฝั่ง เหมือนคุณตระหนักว่าคุณร้องเพี้ยน แต่ในเวลาเดียวกันก็หวังว่าจะสามารถลงจอดได้อย่างงดงามในท้ายที่สุดเฮลเบิร์กเปรียบเทียบอีกแบบว่า “เหมือนเวลาคุณไปโยนโบว์ลิ่ง แล้วลูกเริ่มเฉไปด้านข้าง และคุณก็ได้แต่ลุ้นว่ามันจะไม่ล้างท่อ

แต่สตรีพ เช่นเดียวกับผู้กำกับ สตีเวน เฟรียร์ส ไม่ได้มองว่าฟลอเรนซ์เป็นตัวตลกน่าหัวเราะเยาะ เธอมอบเลือดเนื้อให้กับตัวละคร สะท้อนให้เห็นความจริงใจ ความรักในเสียงดนตรีอย่างแท้จริงของตัวละคร นี่คือสิ่งสำคัญที่ทำให้เธอยังเป็นที่จดจำในหมู่นักฟังเพลง “ฟลอเรนซ์อยู่ในสถานะที่โลกไม่คิดจดจำ ผู้หญิงแก่โง่ๆ ที่รวยแต่ไร้ประโยชน์ คุณจะดูถูกเธอก็ได้ แต่ในเวลาเดียวกันก็ต้องยกเครดิตให้เธอ รวมถึงทัศนคติมองโลกแง่ดีของเธอ เธอพยายามจะใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุดและมอบความรักให้กับคนรอบข้างมากที่สุด


รูธ เนกกา (Loving)

ถ้าคุณได้ดูซีรีส์เรื่อง Preacher ทางช่องเอเอ็มซี ซึ่งดัดแปลงจากการ์ตูน ดีซี คอมิกส์ และมี รูธ เนกกา รับบท ทิวลิป โอแฮร์ คุณจะไม่แปลกใจเมื่อทราบว่าหนึ่งในรูปแบบการออกกำลังกายที่เนกกาชื่นชอบ คือ คราฟ มากา เทคนิคป้องกันตัวของอิสราเอล สำหรับเนกกา ความสนุกในการรับบททิวลิปอยู่ตรงที่ “คุณเอาตัวรอดได้จากการเล่นมุกบ้าๆ บอๆ แบบที่พวกผู้ชายชอบทำกันเซธ โรแกน หนึ่งในโปรดิวเซอร์ซีรีส์ บอกว่า “เธอทำให้ทุกอย่างดูตลกขึ้นมากกระนั้นในชีวิตจริงเนกกาเป็นคนเงียบขรึม ครุ่นคิด และไม่ได้สนุกกับงานเดินสายให้สัมภาษณ์ตามรายการต่างๆ เธอบอกว่าการต้องเป็นตัวของตัวเองต่อหน้าสาธารณชนเป็นเรื่องน่าหวาดกลัว “ตอนเล่นละครเวทีเรื่องหนึ่งฉันต้องแก้ผ้าต่อหน้าคนดูทุกคืนเป็นเวลา 8 เดือน แต่นั่นก็ยังง่ายกว่าการไปออกรายการ The Tonight Show ของ จิมมี ฟัลลอน หนึ่งนาทีเธอคงต้องรีบทำตัวให้ชินเข้าไว้ เพราะหลังจากความสำเร็จของ Loving สื่อมวลชนจะวิ่งหาเธอไม่ขาดสายแน่นอน

ตอนผู้กำกับ เจฟฟ์ นิโคลส์ กำลังหาทุนมาสร้างหนังเรื่อง Loving ซึ่งเนกกากับ โจเอล เอ็ดเกอร์ตัน รับบทมิลเดร็ดกับ ริชาร์ด เลิฟวิง คู่รักต่างสีผิวในชีวิตจริงที่เรียกร้องสิทธิ์ขอแต่งงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายในรัฐเวอร์จิเนียเมื่อปี 1958 ประโยคเดิมที่เขาได้ยินซ้ำแล้วซ้ำเล่า คือ  “รูธ เนกกา เป็นใครแต่เนกกาหาได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจแต่อย่างใด “ฉันก็ก้มหน้าทำงานของฉันไป ไม่กระโตกกระตาก จนกระทั่งเปรี้ยง!” เธอหัวเราะ “ชีวิตฉันไม่เคยแน่นอนหรือน่าเบื่อชื่อเสียงหลั่งไหลมาในชั่วข้ามคืน พร้อมด้วยเสียงชื่นชมหนาหูและรางวัลทางการแสดง ก่อนหน้านี้เนกกาเคยมีประสบการณ์ไม่ค่อยดีกับออสการ์เท่าไหร่ เพราะบทเธอใน 12 Years a Slave ซึ่งคว้ารางวัลสูงสุดไปครอง ถูกตัดทิ้งจนเหี้ยน แต่สามปีผ่านไปออสการ์ชดเชยให้เธออย่างคุ้มค่าด้วยการเสนอชื่อเธอติด 1 ใน 5 สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจาก Loving ท่ามกลางการแข่งขันอันเชี่ยวกราก

นักแสดงสาววัย 35 ปีมีพลังในการแปลงโฉมเป็นใครก็ได้ ด้วยเหตุนี้ บ่อยครั้งเธอมักถูกเลือกให้รับบทที่ตรงข้ามกับเธออย่างสิ้นเชิง ในหนังสือการ์ตูนทิวลิปเป็นสาวผมบลอนด์อกอึ๋ม นิโคลส์เองก็เคยคิดว่านิกกาตัวเล็กเกินกว่าจะรับบทมิลเดร็ด และเมื่อ 6 ปีก่อนเธอเล่นเป็นโอฟีเลียผิวดำคนแรกในละครเรื่อง Hamlet เธอสวมวิญญาณตัวละครเหล่านั้นได้อย่างน่าเชื่อถือ และแน่นอนเหนือความคาดหมายของคนส่วนใหญ่ เธอเป็นเหมือนกิ้งก่าเปลี่ยนสีผู้กำกับหญิง แอนนี ไรอัน ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของเธอให้คำนิยาม

เนกกาเริ่มต้นสร้างชื่อเสียงจากแวดวงละครเวทีในอังกฤษ แต่เวลาอยู่บนจอเธอกลับไม่ติดแสดง “โอเวอร์แบบที่ดาราละครเวทีบางคนเป็น ตรงข้ามเธอเน้นความเป็นธรรมชาติ ความลุ่มลึก ทำให้คนดูซาบซึ้ง หรือหัวเราะด้วยอากัปกิริยาเพียงเล็กน้อย “ผมเคยเห็นการแสดงระดับสุดยอดมาบ้างนิโคลส์กล่าว “เห็นปุ๊บคุณจะบอกได้ทันที มันน่าทึ่งมากเวลาคุณเห็นการแสดงแบบนั้นปรากฏขึ้นตรงหน้า

กระแสคลื่นเริ่มต้นเกือบจะทันทีในเทศกาลหนังเมืองคานส์ หลังงานฉายรอบพรีเมียร์ เนกกากับลูกพี่ลูกน้อง เดวิด มาโลน กลับไปยังโรงแรมและนั่งดื่มมาตินี่ข้างสระน้ำ มีร้านอาหารที่เนกกาในชุดเดรสสีดำของ มาร์ก จาค็อบ ต้องเดินผ่านเพื่อตรงไปยังห้องน้ำ มาโลนจำได้แม่นว่า “คงมีคนจำเธอได้จากรอบพรีเมียร์ เพราะตอนเธอเดินกลับมา คนในร้านพากันลุกขึ้นยืนปรบมือให้พร้อมกับส่งเสียงเชียร์ มันเหลือเชื่อมากๆ

เนกกาเกิดที่เมืองแอดดิส อบาบา ประเทศเอธิโอเปีย มีแม่เป็นพยาบาลชาวไอริชและพ่อเป็นหมอชาวเอธิโอเปีย ทั้งสองพบรักในโรงพยาบาล แบล็ค ไลออน เมื่อเกิดเหตุรุนแรงทางการเมือง แม่จึงหอบลูกสาววัย ขวบกลับไปยังไอร์แลนด์ และรอให้พ่อเดินทางมาสมทบ “เราวางแผนจะไปอเมริกาเนกกาเล่า “แต่พ่อฉันหนีออกมาไม่ได้สามปีต่อมาเขาเสียชีวิตในอุบัติเหตุรถยนต์ “เราทราบข่าวทางจดหมายและโทรศัพท์เธอรำลึก “ตอนนั้นปี 1988 ยังไม่ค่อยมีกลุ่มช่วยเหลือคอยให้คำปรึกษาเด็กที่โศกเศร้าเท่าไหร่แม่เธอเสียใจหนักและไม่เคยแต่งงานใหม่อีกเลย “แม่แข็งแกร่งเหมือนมิลเดร็ดแต่ความแตกต่างอยู่ตรงที่แม่ของเนกกาไม่เคยต้องรับมืออคติจากความสัมพันธ์ต่างสีผิวเหมือน มิลเดร็ด เลิฟวิง “แม่ไม่เคยเจออะไรแบบนั้นเลย ไม่เลยสักนิดเนกกากล่าว ตอนเด็กๆ เธอเองก็ไม่เคยรู้สึกว่าแตกต่างจากบรรดาญาติๆ ผิวขาว และทุกคนรอบข้างก็ปฏิบัติกับเธอโดยปราศจากอคติเช่นกัน “จนกระทั่งฉันย้ายมาอังกฤษนั่นล่ะ ฉันถึงเริ่มตระหนักว่าตัวเองเป็นคนไอริชและคนผิวดำพออายุ 11 ปีเธอเริ่มหันมาสนใจผลงานของ โทนี มอร์ริสัน และ เจมส์ บอลด์วิน ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติสำหรับเด็กหญิงชาวไอริชจากเมืองบ้านนอก “ในชีวิตฉันไม่ค่อยมีคนผิวดำเท่าไหร่ ฉันเลยต้องค้นหาต้นแบบ ฉันไม่ได้เติบโตในอเมริกาก็จริง แต่ฉันอินกับงานเขียนของพวกเขาเกี่ยวกับประสบการณ์แบบคนผิวดำ

ความใฝ่ฝันอยากเป็นนักแสดงของเนกกาเริ่มต้นขึ้น เมื่อเธอเห็น เดวิด โบวี เดินลงบันไดมาในหนังแฟนตาซีเรื่อง Labyrinth รวมไปถึงการได้ดูหนังอย่าง Trainspotting ที่ดัดแปลงจากนิยายของ เออร์วิน เวลช์ และ La Haine หนังฝรั่งเศสเกี่ยวกับความรุนแรงทางเชื้อชาติ พวกมันทำให้เธอคิดได้ว่า “เอาล่ะ เราจะอายุครบ 18 แล้ว เราจะออกจากบ้านไปหาทางทำฝันให้เป็นจริง” 

เนกกาตระหนักดีว่า Loving ออกฉายในช่วงที่ประเด็นสีผิวในอเมริกากำลังถึงจุดเดือด เธอบอกว่าการขาดแคลนความหลากหลายทางเชื้อชาติ สีผิวของฮอลลีวู้ดเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ และน่าขายหน้ามาก แต่เธอก็เริ่มมองเห็นความหวังอันสดใสอยู่เบื้องหน้า เนื่องจากในปีนี้นอกจากจะมีหนังอย่าง Loving แล้ว ก็ยังมีหนังอย่าง Moonlight ของ แบร์รี เจนกินส์ และสารคดีเรื่อง 13th ของ เอวา ดูเวอร์เนย์ “หนังย้ำเตือนให้เราเห็นประเด็นที่ควรเป็นที่ถกเถียง พูดคุยในสังคมเธอกล่าวถึงหนังเรื่อง Loving ซึ่งแม้จะเรียบนิ่งในแง่สไตล์ พูดถึงคนเล็กๆ สองคน ความสัมพันธ์ของปัจเจกบุคคล แต่ขณะเดียวกันก็เผยให้เห็นภาพสะท้อนในมุมกว้างของสังคมด้วย “ฉันกับโจเอลจะหงุดหงิดมากเวลาคนบอกว่าหนังเรื่องนี้นิ่งมาก เพราะเราไม่รู้สึกว่ามันนิ่งเลยสักนิด แต่เป็นการประกาศกร้าวมากกว่านั่นอาจใช้อธิบายการมาถึงของดาวรุ่งดวงใหม่ที่ชื่อ รูธ เนกกา ได้เช่นกัน 

ไม่มีความคิดเห็น: