แพ็ทริเซีย
อาร์เคตต์ (Boyhood)
ในความนึกคิดของคนส่วนใหญ่
แพ็ทริเซีย อาร์เคตต์ ดูจะเป็นที่รู้จักในฐานะเซ็กซ์ซิมโบลจากโลกแฟนตาซีของ โทนี
สก็อต/ เควนติน ตารันติโน และ เดวิด ลินช์ เวลาพวกผู้ชายพูดถึงเธอ
ภาพแรกที่แวบเข้ามาในหัวอย่างเลี่ยงไม่ได้ คือ ภาพเธอสวมบราลายเสือดาว
ทาลิปติกสีแดงสดจากหนังเรื่อง True Romance หรือชุดกระโปรงรัดรูปเปิดเผยทรวดทรงอันเย้ายวนจากหนังเรื่อง
Lost Highway สำหรับพวกเขา เธอกลายเป็นเพียงภาพจำแห่งอดีตเช่นเดียวกับ
มาริลีน มอนโร และ เวโรนิก้า เลค จนกระทั่งการปรากฏตัวขึ้นของ Boyhood หนังที่พิสูจน์ให้เห็นว่านอกจากรูปร่างหน้าตาอันงดงาม โดดเด่นแล้ว อาร์เคตต์ยังเป็นนักแสดงที่เปี่ยมพรสวรรค์และความสามารถอีกด้วย
อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นความสำเร็จส่วนตัว หลังจากเธอพยายามดิ้นรนอยู่หลายปีด้วยการรับบทที่แตกต่างหลากหลายเพื่อสลัดภาพสาวเซ็กซี่
รวมไปถึงเงื้อมเงาของเหล่าพี่น้องนักแสดงอีกสี่คน
แม้จะถูกคัดเลือกให้ต้องรับบทเซ็กซี่อยู่หลายครั้ง
แต่อาร์เคตต์ไม่เคยภูมิใจกับความสวยของตัวเอง ตอนเด็กๆ พ่อแม่อยากให้เธอดัดฟัน
แต่เธอปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่าเธออยากมีข้อตำหนิ เพราะมันจะช่วยในเรื่องการแสดง อย่างไรก็ตามแม้เวลาจะผ่านไปนานหลายปี
แต่ความสวยของเธอยังคงอยู่ ใบหน้าอาจปรากฏร่องรอยแห่งประสบการณ์
แต่ปราศจากการแต่งแต้มโดยแพทย์ศัลยกรรมพลาสติก
วิญญาณความเป็นแม่ของอาร์เคตต์เริ่มฉายแววตั้งแต่เล็กๆ ตอนโรเบิร์ต
น้องชายเธอถือกำเนิด (20 ปีต่อมาเขาผ่าตัดแปลงเพศเป็นผู้หญิงและใช้ชื่อว่าอเล็กซิส) อาร์เคตต์เที่ยวบอกใครต่อใครว่าเขาเป็น “ลูกฉันเอง” สัญชาตญาณความเป็นแม่ติดตัวเธอมาตั้งแต่กำเนิด
แต่ในเวลาเดียวกันเธอก็แข็งแกร่งพอจะยืนบนลำแข้งตัวเองและมีวิญญาณขบถไม่แพ้ใคร
เธอเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เข้าใจว่าความเป็นแม่ถือเป็นความเข้มแข้ง
ไม่ใช่ความอ่อนแอ (เธอตั้งท้องลูกคนแรกตั้งแต่อายุ 20
ปีกับแฟนหนุ่มนักดนตรี พอล รอสซี) แต่ในเวลาเดียวกัน บทคุณแม่ที่อาร์เคตต์เล่นใน
Flirting with Disaster, Beyond Rangoon และล่าสุด Boyhood
ผลงานการแสดงที่หมดจด ยอดเยี่ยมที่สุดของเธอ ล้วนมีส่วนแตกต่างจากตัวตนจริงของเธอแทบทั้งสิ้น
เช่น ตอนที่ลูกชายเธอต้องย้ายออกจากบ้านไปเรียนมหาวิทยาลัย เธอปั้นหน้านิ่งระหว่างขับรถไปส่งเขา
ก่อนจะกลับมานอนร้องไห้สองสัปดาห์เต็ม ส่วน โอลิเวียร์ ใน Boyhood โหยหาอิสรภาพมากกว่า ส่วนหนึ่งคงเกิดจากเธอค้นพบชีวิตใหม่ในช่วง 12 ปี อาร์เคตต์อาจมีบุคลิกเข้มแข็งไม่แพ้กัน
แต่เธอคงไม่มีปัญหา หากลูกๆ อยากจะอยู่ต่อไปอีกสักพักใหญ่
อาร์เคตต์เปรียบเสมือนหัวใจหลักของ
Boyhood
ถึงขนาดที่หากปรับเปลี่ยนบทและตัดต่อใหม่สักเล็กน้อย
หนังสามารถเปลี่ยนชื่อเป็น Motherhood ได้อย่างไม่ขัดเขิน นอกจากนี้
ริชาร์ด ลิงค์เลเตอร์ คือหนึ่งในผู้กำกับไม่กี่คนที่ให้ความเคารพเพศหญิงและไม่เห็นความจำเป็นในการสร้างภาพแม่พระให้กับตัวละครของเขา
ตรงกันข้าม เขากลับมอบลมหายใจ เลือดเนื้อ จิตวิญญาณ ตลอดจนข้อบกพร่องแห่งมนุษย์ให้เธอจนไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใดนักแสดงหญิงงานชุกอย่างอาร์เคตต์ถึงยินดีที่จะเคลียร์ตารางงานให้ว่างอยู่เสมอเพื่อจะร่วมเดินทางไปกับเขาโดยไม่ทอดทิ้งกลางคันตลอดช่วงเวลานาน
12 ปี เช่นเดียวกับเมสัน ซีเนียร์ สามีของเธอ โอลิเวียร์ก็เป็นอีกตัวละครหนึ่งที่ผ่านการเติบโตและเปลี่ยนแปลงไปตามเวลาที่ผันผ่านไม่ต่างจากเด็กชายเจ้าของเรื่องราว
หนังสะท้อนให้เห็นหลากหลายแง่มุมเกี่ยวกับเธอนอกจากความเป็นแม่
การดิ้นรนผลักดันตัวเองไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า การตัดสินใจผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ความยากลำบากในการหาเงินมาจุนเจือครอบครัว และความโกรธขึ้งต่ออดีตสามี
ซึ่งต่อมาพัฒนาค่อยๆ พัฒนาไปสู่การให้อภัยและการยอมรับ
ความยอดเยี่ยมของอาร์เคตต์อยู่ตรงที่เมื่อหนังดำเนินไปเรื่อยๆ
คนดูก็เริ่มเชื่ออย่างสนิทใจว่าเธอคือตัวละครตัวนั้น
และฉากเด่นของเธอในตอนท้ายก็ทำให้คนดูพลอยหัวใจสลายไปด้วย
เมื่อโอลิเวียร์ต้องส่งลูกชายคนเล็กให้โบยบินออกจากรัง
การทำงานด้วยกันนาน
12 ปีทำให้ทีมนักแสดงและผู้กำกับสนิทสนมกลมเกลียวดุจครอบครัวเดียวกัน พวกเขาต่างผ่านประสบการณ์การมีลูก
แต่งงาน และหย่าร้างไปพร้อมๆ กันตลอดช่วงเวลานั้น โดยขณะที่ชีวิตจริงของพวกเขากำลังไหลผ่านอย่างต่อเนื่อง
ชีวิตของเหล่าตัวละครก็กำลังรอคอยบทบันทึกหน้าถัดไปว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา
อาร์เคตต์ยอมรับว่าตัวละครเหล่านี้เปรียบเสมือนส่วนหนึ่งของชีวิตเธอ “ชิ้นส่วนเล็กๆ
บางอย่างเกี่ยวกับพวกเขายังคงติดตัวฉันไป” เธอกล่าว “ถึงแม้ว่าฉันสามารถจะตัดพวกมันทิ้งก็ได้ถ้าต้องการ”
ลอรา
เดิร์น (Wild)
มันถือเป็นเรื่องน่าเศร้า
เมื่อ HBO
ยกเลิกซีรีย์ชุด Enlightened ซึ่งเปิดโอกาสให้
ลอรา เดิร์น ใช้พรสวรรค์ทางการแสดงอย่างคุ้มค่าจนกระทั่งคว้ารางวัลลูกโลกทองคำมาครอง
แต่ข่าวดีสำหรับนักดูหนัง คือ จุดจบของ Enlightened ส่งผลให้เดิร์นมีเวลาแสดงหนังมากขึ้น
และหนึ่งปีหลังซีรีย์ถูกปิดตัว เดิร์นก็ปรากฏตัวให้นักดูหนังได้เห็นหน้าค่าตาบ่อยครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นบทแม่ของ ไชลีน วู้ดลีย์ ใน The Fault in Our Stars บทผู้หญิงที่ถูกขับไล่ออกจากบ้านของตัวเองใน 99 Homes ไปจนถึงบทที่ทำให้เธอถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เป็นครั้งที่ 2
หลังจาก Rambling Rose เมื่อ 23 ปีก่อน นั่นคือ แม่ของ
เชอริล สเตรย์ (รีส วิทเธอร์สพูน) ในหนังเรื่อง
Wild เธอเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งและกลายเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ผลักดันให้สเตรย์ออกเดินป่าเป็นระยะทาง
1,100 ไมล์
น้ำเสียงที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น
ปลอบประโลมใจราวกับได้นั่งจิบชารสชาติหอมหวาน และรอยยิ้มที่เปล่งประกายของ ลอรา
เดิร์น ทำให้เธอกลายเป็นภาพลักษณ์ของความสุข
คุณสมบัติดังกล่าวส่งผลกระทบกับผู้ชมอย่างหนัก เมื่อเราได้เห็นเธอร้องไห้ ในหนังเรื่อง
Wild ซึ่งดัดแปลงมาจากเรื่องจริง เชอริลนิยามแม่ตัวเอง บ็อบบี้ ว่าเป็น “รักแท้เพียงหนึ่งเดียว” ของเธอ ในฉากแฟลชแบ็ค คนดูจะเห็นบ็อบบี้ถูกสามีทำร้าย
ทนทรมานกับการทำคีโม แต่สุดท้ายก็สามารถก้าวข้ามมันไปได้โดยไม่สูญเสียความสง่างามอันเป็นธรรมชาติของเธอ
ลูกสาวแท้ๆ ของ เชอริล สเตรย์ ถูกเลือกให้มารับบทเป็นเชอริลในตอนเด็ก
ระหว่างการถ่ายทำเดิร์นกับหนูน้อยบ็อบบี้ (เชอริลตั้งชื่อลูกตามชื่อแม่)
เข้าขากันได้ดี สเตรย์เล่าว่าเนื่องจากแม่เธอจากโลกนี้ไปก่อนที่ลูกเธอจะลืมตาขึ้นมาดูโลก
เดิร์นจึงกลายเป็นคุณยายเพียงคนเดียวของหนูน้อยบ็อบบี้ “พูดถึงเรื่องนี้ทีไรฉันจะพลอยร้องไห้ทุกที”
เดิร์นเล่า “เชอริลเคยพูดกับฉันว่า ‘รู้มั้ยตอนแม่ตาย ความคิดแวบแรกในหัวฉันคือท่านไม่มีโอกาสจะได้เห็นลูกๆ
ของฉัน ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าลูกสาวฉันได้รู้จักคุณยายของเธอผ่านทางคุณ...’ พอเธอพูดจบฉันก็น้ำตาไหลออกมาเลย ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก”
Wild
ถ่ายทำในเมืองที่สเตรย์อาศัยอยู่ ด้วยเหตุนี้เจ้าของหนังสือที่ถูกนำมาดัดแปลงเป็นหนังจึงสามารถแวะมาเยี่ยมกองถ่ายได้แทบทุกวัน
ลูกๆ ของเดิร์นได้เล่นสนุกกับลูกๆ ของสเตรย์ ส่วนคุณแม่ทั้งสองก็จะนั่งบนพื้นห้องครัวของสเตรย์
เปิดดูรูปเก่าๆ เพื่อขุดคุ้ยความทรงจำเกี่ยวกับบ็อบบี้
ตอนนั้นเองที่เดิร์นตระหนักว่า Wild เป็นหนังที่เล่าถึงเรื่องราวความรักระหว่างเธอกับแม่มากพอๆ
กับการค้นหาตัวเองของเชอริล และความพยายามจะสร้างสมดุลให้กับชีวิตด้วยการออกไปเดินป่าพร้อมกับทบทวนถึงอดีตที่ผ่านมา
“ฉันคิดว่ายังมีเรื่องราวความรักอื่นๆ อีกมากมายนอกเหนือจากความรักระหว่างชายหญิงแบบเทพนิยาย”
นักแสดงสาวใหญ่ผู้โด่งดังจากการร่วมงานกับ เดวิด ลินช์ ในหนังอย่าง Blue
Velvet, Wild at Heart และ Inland Empire กล่าว
“เรื่องราวความรักระหว่างคนเพศเดียวกัน
เรื่องราวความรักระหว่างพ่อแม่กับลูก ฉันคิดว่ายังมีอะไรให้เราสำรวจค้นหาอีกมากเกี่ยวกับนิยามของความรัก
ฉันตื่นเต้นที่ได้เล่นบทนี้เพราะบ่อยครั้งรักแรก หรือบางทีอาจเป็นรักเดียวของเรา
ก็คือ ความรักของแม่กับลูก หรือยายกับหลาน”
เดิร์นเองก็เป็นแม่คนเช่นกัน
เธอมีลูกทั้งหมดสองคน ได้แก่ ลูกชาย เอลเลอรีย์ และ ลูกสาว จายา ด้วยเหตุนี้เธอจึงสามารถเข้าถึงจิตวิญญาณของตัวละครในหนังบีบน้ำตาแห่งปีสองเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยม
ใน The
Fault in Our Star ฉากที่หนักหน่วงทางอารมณ์ทั้งกับตัวละครและคนดู
คือ ภาพแฟลชแบ็คตอนที่แฟรนนีร้องไห้คร่ำครวญข้างเตียงลูกสาวซึ่งกำลังใกล้ตายว่าเธอจะไม่ได้เป็นแม่คนอีกแล้ว
ส่วนใน Wild เดิร์นบดขยี้หัวใจคนดูจนแตกสลายจากฉากที่เธอทราบข่าวว่าตัวเองเป็นโรคมะเร็ง
อย่างไรก็ตามคุณแม่ในหนังทั้งสองเรื่องหาได้หดหู่ หม่นเศร้าต่อชะตากรรมแต่อย่างใด
พวกเธอลุกขึ้นดำเนินชีวิตต่อไปท่ามกลางความมืดมัวแห่งอนาคตข้างหน้า เช่น
เมื่อแฟรนนีบอกลูกสาวว่าเธอจะกลับไปเรียนต่อชั้นมหาวิทยาลัยเพื่อจะได้สามารถหางานทำได้หากวันใดลูกสาวของเธอเกิดเสียชีวิตไปจริงๆ
และเมื่อบ็อบบี้ร้องรำทำเพลงอย่างมีความสุขระหว่างปรุงอาหาร
จนลูกสาวรู้สึกหงุดหงิดว่าทำไมแม่ถึงยังร่าเริงอยู่ได้ทั้งที่ชีวิตเต็มไปด้วยความบัดซบ
บ็อบบี้อธิบายว่าการมองโลกในแง่ดีเป็นสิ่งที่เธอเลือกจะทำ และนั่นถือเป็นการตัดสินใจที่จำเป็นอย่างยิ่งเพื่อให้ตัวเองสามารถมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้
“การได้เห็นผู้หญิงคนนี้ร้องเพลงอย่างมีความสุขหลังจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอต้องเผชิญถือแรงบันดาลใจชั้นยอด”
เดิร์นกล่าว
คีรา
ไนท์ลีย์ (The Imitation Game)
หลังจากค้นคว้าหาข้อมูลอยู่พักใหญ่
รวมถึงดูหนังสารคดีหลายเรื่องเกี่ยวกับ โจนส์ คลาร์ค สุดท้าย คีรา ไนท์ลีย์
ก็ได้ข้อสรุปว่าบทหนัง The
Imitation Game เบี่ยงเบนจากความเป็นจริงในหลายๆ จุด
โดยเฉพาะรายละเอียดเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของคลาร์คในทีมถอดรหัสลับนาซีช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
และเหตุผลที่เธอตัดสินใจแต่งงานกับ อลัน ทัวริง (เบเนดิกต์
คัมเบอร์แบทช์) นักคณิตศาสตร์ที่ปัจจุบันได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งวิทยาการคอมพิวเตอร์
อย่างไรก็ตาม ไนท์ลีย์ไม่มีปัญหาใดๆ กับการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นเพื่อการเล่าเรื่องที่ลื่นไหล
ตลอดจนเน้นย้ำประเด็นที่ต้องการนำเสนอ “มันไม่ใช่สารคดี แต่เป็นหนังดรามา
ฉะนั้นเราจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับส่วนดรามามากกว่าการรักษาข้อเท็จจริงให้แม่นยำร้อยเปอร์เซ็นต์”
เธอกล่าว ก่อนจะเสริมว่า The Imitation Game เป็นหนังเกี่ยวกับการถอดรหัสลับของนาซี
ไม่ใช่ประวัติความสัมพันธ์ระหว่างคลาร์คกับอลัน “ถ้าคุณจะทำหนังเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับช่วงเวลานั้น
หรือเหตุผลที่เขาขอเธอแต่งงาน
ฉันคิดว่าเราคงต้องเดินเรื่องอยู่บนข้อเท็จจริงมากกว่านี้
แต่โชคร้ายที่หนังของเรามีเวลาแค่ 2 ชั่วโมงครึ่ง
และขอบเขตของเรื่องที่เล่าก็ใหญ่โตกว่าเรื่องความสัมพันธ์ ฉะนั้นเราจำเป็นต้องเลือกหยิบมาเฉพาะส่วนสำคัญ
ส่วนที่เป็นแก่นหลักๆ นั่นคือ ในตอนนั้นอลันไม่มีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนใด
มิตรภาพระหว่างเขากับโจนถือเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และเขาก็ขอเธอแต่งงานจริงๆ”
มีการสร้างรายละเอียดหลายอย่างเกี่ยวกับคลาร์คขึ้นใหม่เพื่อความสนุก
ดึงดูดอารมณ์ผู้ชม และขับเน้นเรื่องราวความขัดแย้งให้โดดเด่นขึ้น
ในหนังคลาร์คได้รับเลือกมาร่วมทีมจากการไขปริศนาอักษรไขว้ แต่ในความเป็นจริงเธอมาทำงานอยู่ที่
เบทช์ลีย์ พาร์ค ได้เพราะศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดช่วยผลักดัน (แต่รัฐบาลอังกฤษเคยพยายามคัดคนมาร่วมทีมถอดรหัสด้วยการใช้ปริศนาอักษรไขว้เป็นแบบทดสอบจริง)
ส่วนพล็อตเกี่ยวกับพ่อแม่คลาร์คคัดค้านการตอบรับงานนี้ของลูกสาวก็เป็นการแต่งเติมเพื่อเพิ่มสีสันเช่นกัน
และช่วยขับเน้นแง่มุมเกี่ยวกับสตรีนิยมให้ชัดเจน มันช่วยสะท้อนให้เห็นว่าผู้หญิงยุคนั้นมีทางเลือกไม่มาก
และการตัดสินใจของโจนส์ก็ถือเป็นความกล้าในการแหกกฎของสังคม “ฉันเป็นผู้หญิงในโลกของผู้ชาย ฉันไม่สามารถทำตัวหยิ่งผยองได้” คือ คำตอบของเธอหลังถูกอลันถามว่าทำไมต้องไปตีสนิทและทำดีกับสมาชิกร่วมทีมคนอื่นๆ
ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ชอบขี้หน้าอลันแทบทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้เองคลาร์คในหนังกับคลาร์คตัวจริงจึงค่อนข้างแตกต่างกัน
คนหลังมีบุคลิกเคร่งขรึม สุภาพอ่อนโยน ส่วนคนแรกกลับเข้าสังคมเก่ง มีอารมณ์ขัน
และไม่เกรงกลัวที่จะเสนอความเห็น
“ทันที่ฉันตระหนักว่าบทเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงหลายอย่างเพื่อเหตุผลของการเล่าเรื่องและสร้างอารมณ์ร่วม
ฉันจึงลดทอนการค้นคว้าหาข้อมูล แล้ววิเคราะห์ตัวละครเอาจากเบาะแสในบทหนังเป็นหลัก”
นักแสดงสาวที่สร้างชื่อเสียงเป็นครั้งแรกจากหนังเรื่อง Bend
It Like Beckham กล่าว คลาร์คในหนังเป็นตัวละครที่เหมาะกับไนท์ลีย์พอดิบพอดี
เธอมีเสน่ห์ แต่ขณะเดียวกันก็หัวดื้อและมีวิญญาณขบถผสมผสานอยู่
คุณสมบัติเหล่านี้ปรากฏให้เห็นในบท อลิซาเบธ เบนเน็ตต์ ซึ่งทำให้เธอได้เข้าชิงออสการ์เป็นครั้งแรกจากหนังเรื่อง
Pride & Prejudice กระนั้นความเปลี่ยนแปลงเพื่อเน้นย้ำประเด็นเฟมินิสต์หาใช่สิ่งที่คนเขียนบทยุคปัจจุบันคิดค้นขึ้นจากอากาศธาตุ
แล้วยัดเยียดลงไปในเรื่องราวแต่อย่างใด “พวกเขาจับโจนไปอยู่แผนกภาษาศาสตร์ถึงแม้ว่าเธอจะพูดภาษาอื่นไม่ได้เลยก็ตาม
แต่มันเป็นหนทางที่จะช่วยให้เธอได้ค่าจ้างมากขึ้น ฉันคิดว่ามันน่าสนใจตรงที่ทุกวันนี้เราก็ยังประสบพบเห็นปัญญาแบบเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
นั่นคือ การเรียกร้องให้ผู้หญิงได้ค่าจ้างและก้าวหน้าในอาชีพการงานเทียบเท่าเพศชาย
หนังดำเนินเหตุการณ์ในทศวรรษ 1940 แต่ตอนนี้เราอยู่ในปี 2014
เห็นได้ชัดว่าสิทธิสตรีพัฒนาไปมากแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงที่สุด”
หนึ่งในความสนุกของ
The
Imitation Game คือ
การแสดงที่เข้าขากันอย่างมากระหว่างไนท์ลีย์กับคัมเบอร์แบทช์
มันไม่น่าประหลาดใจเพราะในชีวิตจริงทั้งสองก็สนิทสนมกันไม่ต่างจากทัวริงกับคลาร์ค
หลังจากเคยร่วมงานกันมาก่อนใน Atonement “ระหว่างถ่ายทำเราอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกันเหมือนครอบครัว
มีฉัน, เบน, แพ็ทริค (เคนเนดี้) และโจ (ไรท์)”
ไนท์ลีย์เล่า “ถึงแม้ฉันกับเบนจะเข้าฉากด้วยกันแค่หนึ่งหรือสองครั้งเท่านั้น
แต่การต้องอยู่ด้วยกันเป็นเวลาหลายเดือนทำให้เราสนิทสนมกันนับแต่บัดนั้น” นอกจาก The Imitation Game แล้ว ไนท์ลีย์ยังมีผลงานแสดงอีกหลายเรื่องในปีนี้
ตั้งแต่หนังเพลงอย่าง Begin Again ไปจนถึงหนังตลกอย่าง Laggies
และหนังแอ็กชั่นอย่าง Jack Ryan: Shadow Recruit จากนั้นเธอจะเปิดตัวเป็นครั้งแรกที่บรอดเวย์กับละครเวทีเรื่อง The
Children Hour ในเดือนตุลาคม โดยหลังจากข่าวถูกประกาศออกไป ยอดจองตั๋วล่วงหน้าก็พุ่งสูงเป็น
1 ล้านปอนด์ภายในเวลา 4 วัน “ฉันรักละครเวที” เธอกล่าว ซึ่งไม่น่าแปลกใจ เมื่อพิจารณาว่าเธอเป็นลูกสาวของนักเขียนบทละคร
ชาร์แมน แม็คโดนัลด์ และนักแสดง วิล ไนท์ลีย์ ก่อนความหลงใหลในละครเวทีตั้งแต่วัยเด็กจะนำพาเธอไปสู่โลกแห่งภายนตร์ในที่สุด
เอ็มมา
สโตน (Birdman)
ถึง
Birdman
จะไม่ได้ถ่ายทำแบบช็อตเดียวจบ (เหมือนหนังอย่าง
Russian Ark) แต่อาศัยการตัดภาพที่แนบเนียนจนแทบไม่เห็นรอยต่อ
แต่ผู้กำกับชาวเม็กซิกัน อเลฮานโดร กอนซาเลซ อินญาร์ริตู
ก็จำเป็นต้องถ่ายแบบลองเทคหลายช็อต โดยแต่ละช็อตจะมีความยาวประมาณ 4 นาทีขึ้นไป
นั่นถือเป็นเรื่องแปลกตาอย่างยิ่งสำหรับนักดูหนังยุคปัจจุบันที่คุ้นเคยกับการตัดภาพทุกๆ
เสี้ยววินาที และแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับนักแสดง “มันยากมากๆ” เอ็มมา สโตน
กล่าวถึงสไตล์การถ่ายหนังของอินญาร์ริตู “ฉันรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนระหว่างนั่งรอเข้าฉาก
พลางได้ยินเสียงพูดแว่วมาว่าเทคนี้ต้องออกมายอดเยี่ยมอย่างแน่นอน จากนั้นพอถึงคิว
ฉันก็ทำทุกอย่างพังหมดด้วยการเดินเข้าช็อตเร็วเกินไป”
หลังปิดกล้อง
Birdman
สโตนต้องฝึกทักษะบล็อกกิ้งให้แม่นยำขึ้นอีก
แถมพ่วงด้วยการร้องเพลงและเต้นรำ เพราะเธอถูกคัดเลือกให้รับบทเป็น แซลลี โบวล์ส
แทนที่ มิเชล วิลเลียมส์ ในละครเพลงเรื่อง Cabaret ภายใต้การกำกับของ
ร็อบ มาร์แชล และ แซม เมนเดส นักแสดงสาววัย 26 ปีใฝ่ฝันอยากรับบทนี้มาตั้งแต่อายุ
9 ขวบ ตอนแม่พาเธอไปดู Cabaret เวอร์ชั่นนำแสดงโดย นาตาชา
ริชาร์ดสัน ที่บรอดเวย์ มันถือเป็นประสบการณ์เปลี่ยนชีวิตครั้งสำคัญ เธอเล่าว่า “ฉันสัมผัสได้ถึงหัวจิตหัวใจของนาตาชา
ฉันไม่แน่ใจว่าตัวเองจำเรื่องราวในละครได้มากน้อยแค่ไหน นอกจากความรู้สึกที่ว่าแซลลีไม่ใช่เหยื่อในสายตาของฉัน
ฉันไม่ได้สมเพชเธอ แต่กลับนึกชื่นชมความกล้าหาญของเธอ” นับแต่ได้ดูละครเรื่อง
Cabaret สโตนก็ใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักแสดงมาตลอด เธอเลือกเรียนโฮมสคูลเพื่อจะได้มีเวลาอุทิศให้กับการเล่นละครในโรงละครท้องถิ่น
จากนั้นขณะอายุเพียง 16 ปี เธอตัดสินใจขอย้ายจากบ้านเกิดในสก็อตเดลไปอยู่ลอสแองเจลิสเพื่อทำตามความฝัน
(เธอโน้มน้าวพ่อแม่ด้วยการใช้โปรแกรมพาวเวอร์พอยต์)
แม่กลายเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของสโตนและเป็นคนพาเธอไปตระเวนทดสอบหน้ากล้องจนได้งานแสดงในละครโทรทัศน์อย่างต่อเนื่อง
(แรกทีเดียวเธอใช้ชื่อว่า ไรลีย์ สโตน ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น เอ็มมา
สโตนในเวลาต่อมา) จากนั้นก็เริ่มขยับขยายไปยังวงการภาพยนตร์ด้วยการเล่นบทสมทบในหนังดังอย่าง
Superbad และ Zombieland ส่วนหนังที่ทำให้เธอแจ้งเกิดอย่างแท้จริงในฐานะนักแสดงหญิงที่เก่งกาจและเปี่ยมพลังดารา
คือ Easy A จากนั้นชื่อเสียงของเธอก็ไต่ระดับสู่สถานะซูเปอร์สตาร์นับแต่นำแสดงร่วมกับแฟนหนุ่ม
แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ ในหนังฮิตชุด The Amazing Spider-Man เธอได้ร่วมงานกับผู้กำกับระดับแนวหน้าอย่างอินญาร์ริตู
และทำท่าจะกลายเป็นนางเอกเจ้าประจำคนใหม่ของ วู้ดดี้ อัลเลน ต่อจาก สการ์เล็ต
โจแฮนสัน ด้วยการเล่นหนังเขาสองเรื่องติดกัน นั่นคือ Magic in the
Moonlight กับ Irrational Man ซึ่งมีกำหนดเข้าฉายในปีนี้
เช่นเดียวกับหนังใหม่ของผู้กำกับ คาเมรอน โครว ที่ยังไม่มีชื่อ
โดยเธอจะนำแสดงร่วมกับ แบรดลีย์ คูเปอร์ และ ราเชล แม็คอดัมส์
“ปีนี้เป็นปีที่สุดยอดจริงๆ” สโตนกล่าวถึงผลงานสองเรื่องที่เธอกวาดคำชมมาครองอย่างท่วมท้นนั่นคือ
Birdman และ Cabaret “ฉันจำได้ว่าเมื่อปีหรือสองปีก่อน
ฉันยังนั่งร้องไห้บนโซฟาอยู่เลย ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ฉันเป็นพวกบ่อน้ำตาตื้น
ชอบร้องไห้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ทำงานไม่ได้ดังใจ
หรือเสียบทที่อยากเล่นให้กับนักแสดงคนอื่น ชีวิตฉันมักจะขึ้นๆ ลงๆ แบบนี้แหละ”
ใน
Birdman
สโตนรับบทเป็นลูกสาวของ ไมเคิล คีตัน ที่เพิ่งออกจากสถานบำบัดคนติดยาเสพติดและรู้สึกเหมือนตัวเองมองเห็นโลกได้ชัดเจนมากขึ้น
เธอไม่เกรงกลัวที่จะพูดความความคิดในหัวต่อหน้าพ่อ ดูเหมือนสถานบำบัดไม่ได้ทำให้ทัศนคติมองโลกแบบเย้ยหยันของเธอลดน้อยลงแต่อย่างใด
เธอไม่ลังเลที่จะโยนความผิด แล้วจิกกัดพ่อด้วยถ้อยคำที่เจ็บแสบ
สโตนถ่ายทอดความขมขื่นในใจแซมออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ลุ่มลึก คำพูดถากถางของเธอยืนอยู่บนเส้นแบ่งบางๆ
ระหว่างตลกขบขันกับแทงใจดำ เธอมองว่าโครงการสร้างละครของพ่อหาใช่งานศิลปะ
หรือการแสดงออกทางด้านความคิดสร้างสรรค์ของศิลปิน แต่เป็นแค่ความพยายามปลุกปลอบอีโก้
เพื่อจะได้รู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่อดีตดาราดังที่กำลังตกอับและไม่มีใครจดจำ
มีข้อเท็จจริงซ่อนอยู่ในคำพูดของเธอ
แต่ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นการระบายความอัดอั้นส่วนตัว
ความไม่พอใจที่สั่งสมมานานเนิ่นนาน ซึ่งตัวละครที่เต็มไปด้วยบาดแผลเช่นกันเท่านั้นที่มองออก
ฉากบนหลังคาโรงละครระหว่างเธอกับ เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน แทบจะเรียกได้ว่าเป็นไฮไลท์ของหนังเลยทีเดียว
ทั้งจากพลังเคมีอันเปี่ยมล้น และการได้เห็น เอ็มมา สโตน เติบใหญ่ในฐานะนักแสดง จนกล้าจะเดินเข้าสู่ดินแดนที่เธอไม่คุ้นเคย
ทุกคนตระหนักดีว่าเธอเชี่ยวชาญจังหวะการปล่อยอารมณ์ขันมากแค่ไหน แต่ใครจะคิดว่าเธอสามารถดูอ่อนโยนและเปราะบางได้มากขนาดนั้น
เมอรีล
สตรีพ (Into the Woods)
แม้จะเคยเล่น
Mamma
Mia มาก่อนในปี 2008 และเคยโชว์ทักษะการร้องเพลงในหนังอีกหลายเรื่องอย่าง
A Prairie Home Companion และ Postcards
from the Edge แต่ เมอรีล สตรีพ ยอมรับว่าทันทีที่จะได้มาร่วมแสดงใน
Into the Woods หนังเพลงที่ดัดแปลงจากละครบรอดเวย์สุดฮิตของ
สตีเฟน ซอนด์ไฮม์ การฝึกฝนเสียงร้องให้พร้อมใช้งานถือเป็นสิ่งจำเป็น “บทละครเรื่องนี้ถือเป็นชิ้นส่วนสำคัญในประวัติศาสตร์วงการละครของอเมริกา
การได้ร่วมแสดงในเวอร์ชั่นหนัง ได้ร้องบทเพลงเหล่านี้ถือเป็นเกียรติสูงสุด
แต่ขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องน่าหวาดหวั่นเพราะซอนด์ไฮม์ตั้งมาตรฐานไว้สูง” นักแสดงเจ้าของสามรางวัลออสการ์กล่าว
ในหนังสตรีพอาจรับบทเป็นแม่มดชั่วร้าย
แต่ใครๆ ต่างก็ทราบกันดีว่าตัวจริงของเธอนั้นเป็นที่เคารพนับถือและเป็นที่รักของคนในวงการอย่างมาก
(การถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์มากถึง 19 ครั้งถือเป็นข้อพิสูจน์ชั้นดี
นอกเหนือไปจากทักษะการแสดงอันเป็นเลิศของเธอ) ผู้กำกับ ร็อบ
มาร์แชล บอกว่าทันทีที่เขาได้สตรีพมานำแสดง การดึงดูดดาราคนอื่นๆ
ให้มาร่วมงานด้วยก็ไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ว่าจะเป็นคนคุ้นเคยอย่าง เอมิลี บลันท์ ซึ่งเคยร่วมงานกับสตรีพใน
The Devil Wears Prada แต่ไม่เคยเล่นหนังเพลงมาก่อน
หรือหน้าใหม่อย่าง บิลลี แม็กนุสเซน ซึ่งมีโอกาสฉายแสงบนจอภาพยนตร์เนื่องจากสตรีพเคยดูเขาแสดงในละครชนะรางวัลโทนีเรื่อง
Vanya and Sonia and Masha and Spike เมื่อปี 2013 และพยายามล็อบบี้ให้เขาได้บทเจ้าชายของราพันเซล
ซึ่งถือเป็นบทเด่นบทแรกของเขาในวงการภาพยนตร์ หลังสร้างชื่อเสียงในวงการละครมานานหลายปี
เจมส์
คอร์เดน ซึ่งรับบทคนทำขนมปังที่อยากมีลูกกับภรรยา (บลันท์) เล่าถึงประสบการณ์ในวันที่สองของการซ้อมนานหนึ่งเดือนเต็มว่าสตรีพเอาจริงเอาจังยิ่งกว่าใครๆ
“เธอสวมชุดกระโปรงและมีไม้เท้าพร้อมสรรพ
แต่จังหวะที่เธอกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะ รองเท้าของเธอดันไปเกี่ยวโดนปลายกระโปรง
ทำให้เธอเสียหลักและกำลังจะหงายหลังลงบนพื้นหินโดยเอาหัวลงก่อน ตอนนั้นเวลาเหมือนหยุดนิ่งอยู่กับที่
ในใจผมคิดแค่ว่า ‘เรากำลังจะเป็นพยานในฉากการตายของ เมอรีล
สตรีพ เหรอเนี่ย’ ” จากคำบอกเล่าของคอร์เดน ผู้กำกับ
ร็อบ มาแชล ก็ตกใจจนยืนตัวแข็งทื่อเช่นกัน มีเพียงบลันท์ ซึ่งตอนนั้นกำลังตั้งครรภ์
ที่พุ่งตัวไปรับสตรีพได้ทันเวลา “ผมจำเหตุการณ์ได้ไม่ลืม
และทุกๆ วันถัดมาผมจะคิดว่า ‘เธอคงทุ่มสุดตัวแบบวันนั้นไม่ได้ตลอดการซ้อมหรอก’ แต่เธอก็ทำได้จริงๆ”
การทุ่มเทเพื่องานแสดงที่ได้อารมณ์สมจริงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับสตรีพ
ซึ่งโด่งดังจากหนังหลากหลายที่เธอต้องหัดพูดสำเนียงต่างชาติให้ดูน่าเชื่อถือและทำได้อย่างน่าทึ่งทุกครั้ง
ตั้งแต่ Sophie’s
Choice ไปจนถึง Out of Africa และ A Cry in the Dark นอกจากนี้เธอยังท้าทายตัวเองอย่างต่อเนื่องด้วยการเปลี่ยนไปเล่นหนังตลกอย่าง
Death Becomes Her หรือหนังแอ็กชั่นอย่าง The River Wild
ซึ่งเธอลงทุนฟิตร่างกาย รวมทั้งฝึกทักษะพายเรือล่องแก่งอย่างหนักจนแทบไม่ต้องใช้ตัวแสดงแทนระหว่างถ่ายทำ
ในหนังเรื่อง Into the Woods สตรีพรับบทเป็นแม่มดที่ให้สัญญากับคนทำขนมปังว่าจะถอนคำสาปให้เขากับภรรยาสามารถมีลูกได้
หากคนทำขนมปังนำของสี่อย่างมาให้เธอ นั่นคือ วัวสีขาวดุจน้ำนม
ผ้าคลุมสีแดงดุจเลือด ผมสีเหลืองอร่ามดุจข้าวโพด และรองเท้าทองคำ
ละครเพลงเรื่องนี้เป็นการนำเอานิทานของสองพี่น้องกริมอย่าง หนูน้อยหมวกแดง
แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์ ราพันเซล และซินเดอเรลลามายำรวมกัน โดยส่วนใหญ่หาได้สะอาดสดใสเหมือนในเวอร์ชั่นการ์ตูนดิสนีย์
แต่กลับเต็มไปด้วยความโหดร้าย รุนแรง (เช่น
แม่เลี้ยงใจร้ายในซินเดอเรลลาลงทุนเฉือนเท้าของลูกสาวเพื่อให้เธอสามารถสวมรองเท้าได้พอดี) สตรีพกล่าวว่าหนังละครเพลงของซอนด์ไฮม์ย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่ “เด็กๆ ล่วงรู้ทุกสิ่งเพราะไม่มีการแบ่งแยก ไม่มีการปกป้องเด็กจากข้อเท็จจริง
พวกเขาต้องเผชิญชีวิต ความตาย การป่วยไข้เฉกเช่นคนอื่นๆ เพราะโลกมีทั้งด้านที่มืดหม่นและสดใสสนุกสนาน”
เมื่อย่างเข้าวัย
65 ปี นักแสดงหลายคนอาจเริ่มคิดที่จะเกษียณตัวเองจากวงการบันเทิง
หรือถูกบีบให้ต้องเกษียณเนื่องจากไม่มีบทดีๆ ให้เล่น แต่ไม่ใช่สตรีพ เธอเพิ่งปิดกล้องหนังไปสองเรื่องและกำลังจะเปิดกล้องหนังอีกเรื่อง
โดยหนึ่งในนั้นเธอต้องพึ่งพาทักษะการร้องเพลงอีกครั้ง นั่นคือ Ricki and the Flash เกี่ยวกับพนักงานร้านของชำที่ตัดสินใจไล่ตามความฝันของการเป็นดาวเพลงร็อค
โดยนอกจากร้องเพลงเองแล้ว คราวนี้สตรีพยังต้องฝึกเล่นกีตาร์อีกด้วย
มีอะไรที่ผู้หญิงคนนี้ทำไม่ได้บ้างมั้ย ในหนังเรื่อง Into the Woods ฉากเดียวของสตรีพต้องอาศัยเทคนิคพิเศษด้านภาพเข้าช่วย คือ
ตอนที่แม่มดแปลงร่าง “นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ เมอรีล สตรีพ
ทำไม่ได้” เอมิลี บลันท์ กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น