วันอาทิตย์, มีนาคม 01, 2558

Oscar 2015: Best Actor


สตีฟ คาร์เรล (Foxcatcher)

ถ้าคุณเคยดูซีรีย์ตลกเรื่อง The Office นำแสดงโดย สตีฟ คาร์เรล คุณจะรู้สึกเหมือนว่าคุณรู้จักผู้ชายคนนี้เป็นอย่างดี เขาเป็นคนตลก นิสัยดี หน้าตาหล่อเหลาแบบพิธีกรข่าว นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมการเห็นเขาในหนังใหม่เรื่อง Foxcatcher ซึ่งรับบทเป็น จอห์น ดูปองต์ จึงให้ความรู้สึกตื่นตะลึงและชวนช็อกอยู่ในที คาเรลแต่งหน้าหลายชั้น ใส่จมูกปลอม พูดจาเนิบนาบด้วยน้ำเสียงเย็นชา และดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ไร้ประกายแห่งชีวิตชีวา เขาเป็นผู้ชายประเภทที่มักจะได้ทุกสิ่งตามใจปรารถนา และความต้องการของเขา คือ สร้างโรงยิมสำหรับฝึกซ้อมนักมวยปล้ำเพื่อส่งไปแข่งขันชิงเหรียญทองโอลิมปิก โดยมีเขารับตำแหน่งโค้ชทั้งที่ปราศจากความรู้ใดๆ เกี่ยวกับกีฬามวยปล้ำ มันเป็นเรื่องตลกเหนือจริงในตอนแรก แต่สุดท้ายกลับผกผันกลายเป็นโศกนาฏกรรมชวนหดหู่ ผู้กำกับ เบนเน็ต มิลเลอร์ เชื่อว่ามีเส้นแบ่งระหว่างภาพลักษณ์ต่อหน้าสาธารณชนของนักแสดงตลกกับชีวิตจริงที่ปกปิดไม่ให้ใครเห็น เขาจึงเชื้อเชิญคาเรลมาทานอาหารกลางวันหลังจากเอเยนต์ของนักแสดงเสนอชื่อเขาขึ้นมา สามชั่วโมงครึ่งผ่านไป ผู้กำกับเจ้าของผลงานอย่าง Capote และ Moneyball ก็เชื่อว่าเขาค้นพบคนที่จะมารับบทเป็น จอห์น ดูปองต์ แล้ว

ไม่มีใครคาดคิดว่าดูปองต์จะฆ่าคนได้ ฉะนั้นจึงเป็นเหตุเป็นผลดีที่จะเลือกคนซึ่งไม่มีใครคาดคิดว่าสามารถเล่นบทนี้ได้มาแสดงมิลเลอร์อธิบาย สตีฟดูเป็นคนจิตใจดี เขาบอกผมว่าเขามักจะได้รับบทเป็นตัวละครที่อ่อนปวกเปียก ขาดความมั่นใจ และถึงแม้ภายนอก จอห์น ดูปองต์ จะดูเป็นคนไม่มีพิษสง แต่ลึกๆ แล้วกลับตรงกันข้าม เขาดูเหมือนคนอ่อนแอ ไม่มีพิษมีภัย แต่จริงๆ แล้วเขาเป็นตัวอันตราย ฉะนั้นคุณคงไม่ต้องการนักแสดงชนิดที่พอคนดูเห็นแวบแรกก็นึกขึ้นทันทีว่า เดี๋ยวไอ้หมอนี่มันจะต้องฆ่าใครตายแน่นอน

สำหรับคาเรล เขารู้สึกซาบซึ้งที่มิลเลอร์อยากจะนัดคุยด้วย ตลอดบทสนทนาอันยาวนาน เขาพูดย้ำเสมอว่าเขาไม่ชอบคาดหวังอะไรยิ่งใหญ่ว่าอาชีพเขาต้องเดินไปอย่างไร หรือความรู้สึกของการทดสอบบท หรือการพยายามโน้มน้าวนักทำหนังว่าเขาเหมาะกับบทนั้นบทนี้ มันดูไม่จริงใจ และความจริงใจถือเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดสำหรับเขา ผมประหลาดใจที่ได้รับข้อเสนอให้เล่นบทนี้คาเรลกล่าว ผมรู้สึกเหมือนเป็นหนี้บุญคุณเบนเน็ตต์ที่ไว้ใจผม คนชอบถามว่าคุณจะเล่นบทอะไรแบบนี้ได้เหรอ โดยหลักๆ แล้ว เบนเน็ตต์เชื่อมั่นว่าผมทำได้ และผมก็เชื่อใจเขา เพราะตอนได้อ่านบท ผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเกิดมาเพื่อเล่นบทนี้ และผมต้องนัดเจอเขาแล้วหว่านล้อมให้เขาเห็นด้วยให้ได้ นั่นไม่ใช่วิธีการทำงานของผมแต่การไม่คาดหวังอะไรมีข้อดีตรงที่ ถ้าทุกอย่างเกิดลงตัวขึ้นมา ความมหัศจรรย์จะบังเกิด... Foxcatcher เปิดฉายรอบปฐมทัศน์ที่เมืองคานส์ และเมื่อหนังจบ คนดูในโรงก็ลุกขึ้นยืนปรบมือยาวนานหลายนาที จนคาเรลถึงกับให้สัมภาษณ์ว่าเขาไม่อยากกลับไปที่นั่นอีกเพราะ ไม่มีทางที่ทุกอย่างจะวิเศษสุดแบบนั้นอีกแล้ว

คาเรลกล่าวว่าเขาเข้าใจโลกของ Foxcatcher ในระดับหนึ่ง แม้ว่าเขาจะเติบโตมาในครอบครัวปกติ และ ปราศจากบาดแผลทางจิตใจที่ชัดเจนแต่สำหรับดูปองต์ ชัยชนะคือทุกสิ่งทุกอย่าง ที่สองมีไว้สำหรับพวกขี้แพ้ หนังไม่เพียงจะเป็นเรื่องราวการไล่ล่าความเป็นเลิศเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความรู้สึกเหนือกว่าอีกด้วยคาเรลเตรียมความพร้อมเพื่อรับบทนี้ด้วยการศึกษาฟุตเตจของ จอห์น ดูปองต์ ตัวจริง พยายามเลียนแบบอากัปกิริยาและวิธีการพูดแบบทิ้งจังหวะของเขา รวมไปถึงอ่านบทความของเขาเกี่ยวกับปักษีวิทยาเพื่อมองหาเบาะแสแห่งความสัมพันธ์อันน่าอึดอัดระหว่างเขากับ มาร์ค ชูลท์ซ (แชนนิง ตาตั้ม) “นอกเหนือจากความเปลี่ยวเหงาแล้ว พวกเขารู้สึกเชื่อมโยงถึงกันดุจพี่น้องร่วมสายเลือดคาเรลกล่าว พวกเขาทั้งสองต้องการบางสิ่งบางอย่างจากอีกฝ่าย และโหยหามันอย่างสิ้นหวัง

หลังเสียงชื่นชมอย่างเป็นเอกฉันท์จากคานส์ ข้อเสนอแรกที่คาเรลได้รับ คือ บทฆาตกรโรคจิต ซึ่งเขาตอบปฏิเสธไป คาเรลบอกว่าเขาไม่ต้องการรับบทเป็นนักแสดงตลกที่ต้องการพิสูจน์ตัวเองว่าสามารถเล่นบทดรามาหนักๆ ได้ ผมไม่แคร์หรอกว่าคนดูจะมองผมในฐานะนักแสดงตัวจริงหรือไม่ แต่ผมก็ดีใจที่ได้รับโอกาสให้ลองอะไรใหม่ๆล่าสุดเขาเพิ่งแหกกฎตัวเองด้วยการไล่ล่าขอนัดคุยกับผู้กำกับ ระดับแนวหน้าคนหนึ่ง ซึ่งถือสิทธิ์เรื่องราวซึ่งเขาประทับใจและอยากมีส่วนร่วม เป็นครั้งแรกที่ผมทำอะไรแบบนี้คาเรลพูดเหมือนไม่เชื่อตัวเอง... ผลลัพธ์ออกมาเป็นเหรอ ผมแทบจะพูดอะไรไม่เป็นประโยค ผมประหม่ามาก หลังบทสนทนาสิ้นสุดลงผมรู้สึกเหมือนไอ้หน้าโง่เขาหัวเราะก่อนจะสรุปว่า เห็นมั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นเวลาคุณตั้งใจมากเกินไป


แบรดลีย์ คูเปอร์ (American Sniper)

American Sniper เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับนายทหารเรือ คริส ไคล์ ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นพลซุ่มยิงที่แม่นยำและอันตรายที่สุดของประวัติศาสตร์อเมริกา จากการเดินทางไปร่วมรบที่อิรัก 4 ครั้ง เขาสังหารศัตรูไปทั้งสิ้น 160 ศพ ถูกยกให้เป็น ตำนานถึงขนาดฝ่ายศัตรูตั้งราคาค่าหัวเขา ไคล์ถือคติ ไม่ทิ้งเพื่อนไว้ข้างหลังระหว่างปฏิบัติภารกิจ แต่เมื่อกลับถึงบ้านที่เท็กซัสเขาก็ไม่อาจสลัดสงครามออกไปจากหัวได้เช่นกัน ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2013 ไม่นานหลังจาก แบรดลีย์ คูเปอร์ ซื้อลิขสิทธิ์หนังสืออัตชีวประวัติที่ไคล์เขียนร่วมกับ สก็อตต์ แม็คอีเวน และ จิม เดอเฟลิซ มาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ (นอกจากแสดงนำแล้วคูเปอร์ยังควบตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างด้วย) คริส ไคล์ ถูกยิงเสียชีวิตโดยทหารผ่านศึกวัย 25 ปีที่เขาพยายามช่วยเหลือให้หายจากความเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ (PTSD) ด้วยการพาไปซ้อมยิงปืนที่สนามฝึก ผมได้คุยโทรศัพท์กับเขาแค่ครั้งเดียว เพราะผมทราบมาว่าเขาหวั่นใจอยู่เหมือนกันที่ผมจะมารับบทเป็นเขาในหนัง ผมโทรไปเพื่อบอกว่าผมจะทำให้ดีที่สุดคูเปอร์เล่า ผมบอกว่าผมอยากให้เขามีส่วนร่วม และอยากบินไปเท็กซัสเพื่อทำความรู้จักเขาเป็นการส่วนตัว แต่พอเขาถูกยิงเสียชีวิต แผนทุกอย่างเลยเปลี่ยนไป มีสองสิ่งที่ผมต้องทำเพื่อโน้มน้าวตัวเองและคนอื่นๆ ว่าผมสามารถรับบทนี้ได้ อย่างแรก คือ ผมต้องเพิ่มน้ำหนักให้ตัวใหญ่เท่าเขาตั้งแต่เริ่มแรก และผมต้องใช้เวลาทำความรู้จักภรรยาเขากับลูกๆ รวมถึงเพื่อนสนิทของเขาเพื่อจะได้เข้าใจตัวตนที่แท้จริงของเขา

ผู้กำกับ คลินท์ อีสต์วู้ด ต้องการถ่ายทำที่ประเทศโมร็อกโกในเดือนมีนาคมก่อนอากาศจะร้อนจัด ดังนั้นคูเปอร์จึงเหลือเวลาแค่สามเดือนหลังปิดกล้อง American Hustle ในการเพิ่มน้ำหนักขึ้น 39 ปอนด์ เขาต้องกินอาหารวันละ 5 มื้อ หรือประมาณ 6000 แคลอรีต่อวัน รูปร่างเป็นส่วนหนึ่งที่นิยามตัวตนของ คริส ไคล์ นี่เป็นส่วนที่ยากที่สุดของการรับบทนี้ ยากกว่าการฝึกในค่ายทหารเสียอีก เพราะผมป่วยอยู่พักหนึ่ง ระบบภายในเหมือนจะช็อกไปเลย ตอนนั้นผมคิดว่าคงทำไม่สำเร็จแล้ว แต่สุดท้ายร่างกายก็ค่อยๆ ปรับตัว ผมรู้สึกเหมือนกำลังทำงานทดลองทางวิทยาศาสตร์อะไรสักอย่างคูเปอร์กล่าวถึงวิธีเตรียมความพร้อม แต่การเพิ่มน้ำหนักไม่ใช่แค่การใส่ไขมันเข้าร่างเท่านั้น เขาต้องเพิ่มกล้ามเนื้อไปพร้อมๆ กันด้วย และนั่นหมายถึงการต้องแหกตาตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อออกกำลังกายอย่างหนักนาน 5 ชั่วโมง เพราะกล้ามเนื้อที่แข็งแรงจะช่วยให้เขาสามารถแบกรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นได้

ขั้นตอนต่อไปหลังจากรูปร่างได้สัดส่วนตามต้องการแล้ว คูเปอร์ต้องฝึกฝนท่าเดิน การเคลื่อนไหวตัว และบุคลิกเฉพาะตัวของไคล์ โดยหนึ่งในสิ่งที่เขาเรียนรู้จากทายา ภรรยาม่ายของไคล์ คือ เวลาจ้องมองกล้องที่ปืนไรเฟิล เขามักจะชอบสูดจมูก คริสทำแบบนั้นเวลาเผชิญสถานการณ์ตึงเครียดทายากล่าว นอกจากนี้ คูเปอร์ต้องไปฝึกทักษะยิงปืนในช่วงเสาร์อาทิตย์อีกด้วย โดยมีครูฝึกเป็นพลซุ่มยิงของหน่วยซีลที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ไคล์ เขายิงปืนแม่นใช้ได้เลยคนเขียนบท/โปรดิวเซอร์ เจสัน ฮอล กล่าวถึงคูเปอร์ แค่วันที่สองของการฝึกเขาก็สามารถยิงเป้าที่เล็กขนาดถ้วยชาในระยะ 800 หลาได้อย่างสบายๆส่วนการฝึกพูดสำเนียงเท็กซัสกับผู้เชี่ยวชาญจะใช้เวลาราว 4 ชั่วโมงต่อวัน ผมมีเทปให้สัมภาษณ์ของคริสกับคลิปวิดีโอที่เขาพูดติดต่อกันเป็นเวลาหลายชั่วโมงคูเปอร์กล่าว ผมย้ายไฟล์พวกนี้ลงในไอโฟน แล้วเปิดฟังตลอดเวลาเพื่อจับน้ำเสียงเขาและพูดเลียนแบบตามไปด้วย

แต่งานแสดงอันยอดเยี่ยมของคูเปอร์ไม่ได้อยู่ตรงรูปธรรมภายนอกที่สัมผัสได้เท่านั้น หากยังรวมไปถึงฉากที่แทบไม่มีบทพูดใดๆ เมื่อเขาต้องสื่ออารมณ์ความรู้สึกผ่านดวงตาและภาษาท่าทาง เช่น ในฉากที่ไคล์ตัดสินใจบอกลาอาชีพทหาร แต่ยังไม่สามารถทำใจกลับมาเผชิญโลกแห่งความเป็นจริงได้ ดังนั้น แทนที่จะบินตรงกับไปหาลูกเมีย เขากลับเลือกไปนั่งจมจ่อมอยู่ในบาร์แห่งหนึ่ง สายตาว่างเปล่าจ้องมองยังจอโทรทัศน์... คงไม่มีใครยืนยันว่าคูเปอร์สวมวิญญาณเป็น คริส ไคล์ ได้แม่นยำแค่ไหนได้ดีไปกว่าทายา เธอให้สัมภาษณ์หลังจากชมภาพยนตร์จบว่า เขาเหมือนคริสมาก คนที่ฉันเห็นบนจอไม่ใช่แบรดลีย์ แต่เป็นคริสต่างหาก

สองสามปีที่ผ่านมาดูเหมือนจะเป็นยุคทองของ แบรดลีย์ คูเปอร์ อย่างแท้จริง นอกจากถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์สามปีซ้อนแล้ว งานแสดงของเขาในละครเวทีเรื่อง The Elephant Man ก็กวาดคำชมจากนักวิจารณ์อย่างเป็นเอกฉันท์ (และแน่นอนเขาต้องเร่งลดน้ำหนักอีกหลายกิโลเพื่อรับบทนี้) ข้อเสนอยังคงหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย เขาเพิ่งปิดกล้องหนังตลกโรแมนติกเรื่องใหม่ของ คาเมรอน โครว โดยเล่นประกบ ราเชล แม็คอดัมส์ และ เอ็มมา สโตน ตามมาด้วยหนังตลกเกี่ยวกับพ่อครัวที่ต้องการสร้างร้านอาหารระดับสุดยอด ซึ่งเขาได้กลับมาร่วมงานกับ เซียนนา มิลเลอร์ อีกครั้ง นี่เป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขมากที่สุดทั้งในด้านอาชีพการงานและชีวิตส่วนตัว (กับนางแบบชาวอังกฤษ ซูกิ วอเตอร์เฮาส์)” นักแสดงหนุ่มที่เพิ่งอายุครบ 40 ปีหมาดๆ กล่าว


เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบทช์ (The Imitation Game)

ต้องยอมรับว่าชื่อเสียงและความโด่งดังของ เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบทช์ นั้นเกิดขึ้นอย่างฉับพลันและคาดไม่ถึงในชั่วข้ามคืน เป็นเวลาหลายปีที่เขาแสดงหนังทีวีมากมายหลายเรื่อง เล่นละครเวที รับบทสมทบในหนังดังอย่าง Atonement และ The Other Boleyn Girl แต่ไม่เคยเป็นที่จดจำของมวลชนจนกระทั่งเขาสวมวิญญาณเป็น เชอร์ล็อค โฮมส์ ในซีรีย์สุดฮิตเรื่อง Sherlock ของสถานีบีบีซี ทันใดนั้นเองซูเปอร์สตาร์คนใหม่ก็ถือกำเนิดขึ้นบนโลก เขากลายเป็นนักแสดงที่ใครๆ ก็อยากจะร่วมงานด้วย เป็นคนดังทางอินเทอร์เน็ตที่สาวๆ หลงใหลคลั่งไคล้ ตอนที่คัมเบอร์แบทช์ไปออกรายการ Late Night With Jimmy Fallon ปรากฏว่ามีคนมารอคิวเข้าร่วมรายการมากกว่าแขกรับเชิญคนใดในปีนั้น และถึงแม้คัมเบอร์แบทช์จะไม่เคยรับบทพระเอกในหนังโรแมนติก และเคยให้สัมภาษณ์หน้าตาเขาดูเหมือน ซิด ในการ์ตูนเรื่อง Ice Age แต่กลับมีเว็บไซต์มากมายสาธยายถึงความโรแมนติกของมนุษย์เพศชายผู้นี้ คลิปรวมภาพของเขาที่ชื่อว่า Benedict Cumberbatch – Fantastic Lover กลายเป็นคลิปยอดฮิตทางยูทูป ก่อกำเนิดกระแสแฟนเกิร์ลที่เรียกตัวเองว่า Cumberbitches ซึ่งพวกเธอจะใส่แฮสแท็กว่า Cumberwatch เวลาโพสทวิตเตอร์เกี่ยวกับกิจกรรมของเขา

ยากที่จะระบุชัดเจนว่าอะไรเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจในตัวคัมเบอร์แบทช์ เขาไม่ได้หล่อเหลาแบบพระเอกหนังทั่วไป แต่ดูเหมือนหลุดมาจากศตวรรษอื่นด้วยโครงหน้ายาวเรียว ทรงผมเหมือนม็อบถูพื้น และดวงตาสีฟ้ารูปทรงอัลมอนด์ที่อยู่ห่างจากกัน และสามารถสื่อถึงอัจฉริยภาพ หรือความบ้าคลั่งได้มากพอๆ กัน ขึ้นอยู่กับว่าเขากำลังรับบทเป็นใคร นอกจากนี้ ชื่อสุดประหลาดของเขายังติดหูและติดปาก ฟังแวบแรกเหมือนชื่อตัวละครจากนิยาย แฮร์รี พอตเตอร์ มากกว่าชื่อดาราหนังในโลกปัจจุบัน ตลอดช่วงสองปีที่ผ่านมา คัมเบอร์แบทช์ดูจะปรากฏตัวอยู่ทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะเป็นพรมแดงตามงานแจกรางวัล ข่าวซุบซิบในหน้านิตยสาร โซเชียลเน็ตเวิร์ค และแน่นอนบนจอภาพยนตร์ ซึ่งไล่เรียงตั้งแต่หนังเข้าชิงรางวัลออสการ์อย่าง 12 Years a Slave และ August: Osage County ไปจนถึงหนังบล็อกบัสเตอร์อย่าง Star Trek Into Darkness และ The Hobbit: The Desolation of Smaug (เขาพากษ์เสียงเป็นมังกรสม็อก)

ในซีรีย์ Sherlock คัมเบอร์แบทช์รับบทเป็นตัวละครที่มีระดับ I.Q. ทะลุเพดาน แต่ระดับ E.Q. เข้าขั้นต่ำเตี้ยเรี่ยดินได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยเหตุนี้ จึงไม่แปลกที่เขาจะกลายเป็นตัวเลือกลำดับแรกๆ ในการมารับบท อลัน ทัวริง นักคณิตศาสตร์ที่ไม่ถนัดการเข้าสังคม แต่มีมันสมองปราดเปรื่องจนสามารถถอดรหัสนาซีในช่วงสงครามโลก และกลายเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดวิทยาการคอมพิวเตอร์ถ้าคุณอยากให้บทพูดของคุณฟังดูฉลาด ก็จงเลือก เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบทช์ มาอ่านบทที่คุณเขียนเกรแฮม มัวร์ คนเขียนบท The Imitation Game กล่าว ต่อให้ผมลอกข้อความมาจากสมุดโทรศัพท์ เขาก็สามารถทำให้มันเวิร์คได้หนังดัดแปลงจากหนังสือเรื่อง Alan Turing: The Enigma เขียนโดย แอนดรูว์ ฮอดจ์ส เล่าถึงเรื่องราวชีวิตของทัวริงทั้งในแง่อาชีพการงาน ความสัมพันธ์ส่วนตัว รวมไปถึงความอยุติธรรมที่เขาต้องจำทนจากการมีรสนิยมรักร่วมเพศในยุคสมัยที่สังคมยังเต็มไปด้วยอคติ

เนื่องจากไม่มีฟุตเตจของทัวริงให้คัมเบอร์แบทช์ได้ศึกษาลักษณะท่าทางและวิธีการพูด เขาจึงต้องอาศัยจินตนาการ ตลอดจนการพูดคุยกับบรรดาญาติสนิทมิตรสหายของทัวริง ความยากไม่ใช่เรื่องของการเลียนแบบวิธีพูดที่เกือบจะติดอ่างในบางครั้งเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงบุคลิกลึกลับ เก็บกดของเขา ซึ่งเป็นปริศนาที่ยากจะเข้าถึงพอๆ กับรหัสลับนาซี โดยภายนอกทัวริงดูเย่อหยิ่ง เอาจริงเอาจัง แต่ภายในกลับแฝงความอ่อนไหว เปราะบางเอาไว้ไม่น้อย เขาถ่ายทอดหลากหลายอารมณ์ในเวลาเดียวกันได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ใช่ว่านักแสดงทุกคนจะสามารถรับบทเป็นอัจฉริยะบุคคลได้ผู้กำกับ มอร์เทน ทิลดัม กล่าวชื่นชมนักแสดงนำของเขา เช่นเดียวกัน คีร่า ไนท์ลีย์ ซึ่งร่วมแสดงในบทเพื่อนร่วมอาชีพและคู่หมั้นของทัวริง พูดถึงคัมเบอร์แบทช์ว่า เขาเป็นนักแสดงที่ไม่เคยทำทุกอย่างให้ง่ายเข้าไว้ ถ้าตัวละครเต็มไปด้วยแง่มุมซับซ้อน เขาจะกระโจนเข้าไปสำรวจ แล้วพยายามถ่ายทอดทุกแง่มุมเหล่านั้นออกมาให้คนดูเห็น ไม่ว่าจะรับบทใด คุณสามารถเชื่อว่าเขาเป็นตัวละครนั้นจริงๆ ได้อย่างหมดใจ

การรับบทตัวละครที่ฉลาด ไหวพริบเฉียบคมเกินหน้าเกินตาคนอื่นมาหลายเรื่องติดกันทำให้นักแสดงวัย 38 ปีเริ่มจะโหยหาความแตกต่าง ผมเล่นบททั้งคนดีและคนร้ายมาหมดแล้ว แต่ผมไม่เคยเล่นบทประเภทเซ็กซี่หน่อยๆ ผมรู้ว่าเชอร์ล็อคเป็นตัวละครที่คนชื่นชอบกันมาก แต่ผมอยากจะลองเล่นหนังตลกโรแมนติกดูบ้างถ้าวันนั้นมาถึงเมื่อไหร่ละก็ รับรองได้ว่าจะต้องมีแฟนเกิร์ลแห่ไปต่อคิวซื้อตั๋วกันตั้งแต่วันแรกอย่างแน่นอน


ไมเคิล คีตัน (Birdman)

หลังสร้างชื่อเสียงโด่งดังในยุคปลาย ’80 ถึงต้น ’90 จากหนังชุด Batman ของ ทิม เบอร์ตัน จู่ๆ ไมเคิล คีตัน ก็ดูจะหายตัวไปจากโรงมัลติเพล็กซ์ โดยครั้งสุดท้ายที่คนดูจดจำเขาได้น่าจะเป็นการรับบท (โดยไม่มีเครดิต) แฟนหนุ่มเอฟบีไอของ เจนนิเฟอร์ โลเปซ ในหนังดังของ สตีเวน โซเดอร์เบิร์ก เรื่อง Out of Sight “ผมมีชีวิตด้านอื่นอีกมาก” คีตันกล่าว “ผมสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับหลายสิ่งหลายอย่างถ้าคุณมีโอกาสได้เดินสำรวจบ้านของเขา คุณจะพบหนังสือเล่มโตเกี่ยวกับการตกปลาด้วยอุปกรณ์ฟลาย (fly fishing) อยู่บนโต๊ะกาแฟ เขียนโดย โธมัส แม็คแกวน เพื่อนสนิทและคู่หูตกปลาของของในมอนทานา ตรงมุมห้องด้านหนึ่งมีเปียโนวางอยู่ ส่วนใหญ่จะเล่นโดยลูกชายนักแต่งเพลงของเขา ฌอน ดักลาส และบนผนังในห้องนั่งเล่นจะแขวนประดับภาพถ่ายสวยๆ จำนวนมาก ทั้งนี้เพราะคีตันเป็นนักสะสมและชื่นชอบการถ่ายภาพเป็นชีวิตจิตใจ โดยส่วนใหญ่เขาจะถ่ายรูปวิวทิวทัศน์ ท้องทุ่ง ผืนป่า หรือกระทั่งเกมแข่งเบสบอล

ไมเคิล คีตัน ขึ้นชื่อเรื่องเป็นคนเลือกบท เขาตอบปฏิเสธข้อเสนอมานับไม่ถ้วน แล้วเลือกจะใช้ชีวิตเงียบสงบในบ้านที่มอนทานา หลบลี้จากแสงไฟและเมืองใหญ่ แต่บทนำในหนังเรื่อง Birdman นั้นหอมหวนเกินกว่าที่เขาจะบอกผ่าน โดยคราวนี้เขาต้องสวมวิญญาณเป็น ริกแกน ธอมสัน อดีตซูเปอร์สตาร์ซึ่งโด่งดังมาจากบทซูเปอร์ฮีโร่นามเบิร์ดแมน เขาพยายามจะ “คัมแบ็ค” ด้วยการกำกับละคร แล้วชุบชีวิตให้กับแรงบันดาลใจที่เคยทำให้เขาหันมายึดอาชีพนักแสดงตั้งแต่แรก ความสอดคล้องระหว่างริกแกนกับชีวิตจริงของคีตันนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก ตอนเขียนบทหนังเสร็จ” อเลฮานโดร กอนซาเลซอินญาร์ริตู ผู้กำกับมือรางวัลชาวเม็กซิกันเจ้าของผลงานชั้นเยี่ยมอย่าง Babel และ Ameros Perros กล่าว “ผมรู้ว่า ไมเคิล คีตัน ไม่ใช่หนึ่งในตัวเลือก แต่เป็นคนเดียวเท่านั้นที่เหมาะจะรับบทนี้” อิญาร์ริตูบอกว่าคีตันมีเสน่ห์แบบติดดิน ซึ่งจะช่วยสร้างสมดุลให้กับตัวละครที่หลงตัวเองและอารมณ์ร้ายแบบริกแกน ที่สำคัญ เขายังเป็นหนึ่งในนักแสดงเพียงไม่กี่คนที่เคยรับบทซูเปอร์ฮีโร่มาแล้วจริงๆ (จาก Batman และ Batman Returns) “ความสมจริงและพลังอำนาจที่เขาถ่ายทอดออกมาถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับบทนี้

ความพยายามของริกแกนในหนังอาจลงเอยด้วยอุปสรรคนานัปการ แต่การร่วมงานระหว่างอินญาร์ริตูกับคีตันในชีวิตจริงกลับราบรื่น งดงาม จนกวาดคำชมจากนักวิจารณ์อย่างท่วมท้น Birdman เป็นผลงานวิพากษ์ประเด็นเกี่ยวกับชื่อเสียง ความทะเยอทะยาน และอัตตา ที่สำคัญ มันถือเป็นบทบาทการแสดงที่ดีที่สุดในชีวิตของนักแสดงวัย 63 ปีอย่างปราศจากข้อกังขา “ไม่กี่ครั้งหรอกที่คุณจะมีโอกาสได้เป็นส่วนหนึ่งของการทดลองอันวิเศษสุด” คีตันกล่าว “มันเต็มไปด้วยอารมณ์มืดหม่น ความแปลกพิสดาร และมุกตลกมากมาย ฉะนั้นคุณจึงรู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่บนกระดานโต้คลื่น ต้องรักษาสมดุลอยู่ตลอดเวลา ผมชอบความรู้สึกแบบนี้ ผมชอบท้าทายตัวเองว่าจะสามารถทำได้หรือไม่

กล้องจะตามติดริกแกนเกือบตลอดเวลา บ่อยครั้งในระยะโคลสอัพ ขณะเขาพยายามนำแสดงและกำกับละครเวทีเรื่อง What We Talk About When We Talk About Love ในเวลาเดียวกันกล้องก็คอยเฝ้าสังเกตปฏิกิริยาระหว่างเขากับคนรอบข้างตั้งแต่เพื่อนนักแสดง ซึ่งรับบทโดย เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน และ นาโอมิ วัตส์ ไปจนถึงลูกสาวปากปลาร้าของเขาซึ่งควบตำแหน่งผู้ช่วยส่วนตัว รับบทโดย เอ็มมา สโตน นอกจากนี้ เขายังถูกหลอกหลอนด้วยเสียงและภาพของเบิร์ดแมน (รับบทโดยคีตันในชุดยางรัดรูป) ซึ่งคอยย้ำเตือนเสมอว่าในอดีตเขาเคยโด่งดังขนาดไหน

อย่างไรก็ตาม คีตันหาได้ประสบปัญหาเดียวกับริกแกนแต่อย่างใด เขาไม่เคยยึดติดกับชื่อเสียงในวงการบันเทิง เขายอมรับว่าเคยรับเล่นหนังระดับล่างเพียงเพื่อหาเงินมาจับจ่ายใช้สอย แต่ในเวลาเดียวกันก็ยินดีรับงานอื่นๆ ตามความสนใจที่หลากหลาย เช่น ทำรายการตกปลาให้กับช่องเอาท์ดอร์ หรือเขียนบล็อกให้ค่าย ESPN เกี่ยวกับทีมเบสบอลอันเป็นที่รักอย่าง พิทส์เบิร์ก ไพเรทส์ “เขาไม่ได้หลงแสงสี” แม็คแกวนกล่าวถึงเพื่อนคนดัง “เขามีอะไรหลายอย่างให้ทำ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับการสร้างหนังอินญาร์ริตูเห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว พ่อผมมักพูดเสมอว่าเวลาที่เราประสบความสำเร็จ ให้ลิ้มรสมันจนพอใจ แล้วคายทิ้งเสีย เพราะจริงๆ แล้วมันเป็นพิษกับร่างกาย ไมเคิลเคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว และผมไม่คิดว่าเขาจะหลงระเริงใดๆ ไปกับความสำเร็จ หรือรางวัลต่างๆ ที่หนังเรื่องนี้จะนำมาให้เขาบางทีอาจเป็นความสนใจอันหลากหลายนอกเหนือจากวงการหนังนั่นเองที่ทำให้ ไมเคิล คีตัน สามารถควบคุมภาพหลอนของเบิร์ดแมนได้อย่างอยู่หมัด


เอ็ดดี้ เรดเมย์น (The Theory of Everything)

นับแต่ได้อ่านบทหนังเรื่อง The Theory of Everything ซึ่งเล่าถึงชีวิตอันน่าทึ่งของ สตีเฟน ฮอว์คิง และสัมพันธ์รักระหว่างเขากับภรรยาคนแรก (รับบทโดย เฟลิซิตี้ โจนส์) เอ็ดดี้ เรดเมย์น ก็ตกหลุมรักและไล่ล่าอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ได้บทนี้มาครอง เขานัดพูดคุยกับ เจมส์ มาร์ช ผู้กำกับซึ่งโด่งดังจากการสร้างหนังสารคดีชนะรางวัลออสการ์เรื่อง Man on Wire ในผับแห่งหนึ่ง ตอนนั้นเป็นเวลา 4 โมงเย็น เจมส์ถามผมว่าจะดื่มอะไร ผมสั่งเบียร์ ส่วนเขาดื่มกาแฟ เราคุยกันอย่างออกรส ผมลงเอยด้วยการดื่มเบียร์ไปราวๆ ห้าขวด ตอนที่เราบอกลากัน ผมอยู่ในสภาพเมามาย ส่วนเขาก็ตาแข็งจากการดื่มกาแฟไปหลายแก้วในช่วงเวลาระหว่างนั้นเรดเมย์นสามารถโน้มน้าวมาร์ชให้เชื่อโดยสนิทใจว่าเขารับบทเป็นฮอว์คิงได้ แต่นั่นเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น

ในตอนเช้าของวันจันทร์หลังได้รับแจ้งข่าวดี เรดเมย์นก็โทรศัพท์ไปยังศูนย์วิจัยเกี่ยวกับโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงในกรุงลอนดอน แล้วใช้เวลาสองสามสัปดาห์เฝ้าสังเกตคนไข้ที่คลินิก นักประสาทวิทยา ดร.เคที ซิดเดิล พาเขาไปพบกับคนไข้ที่ป่วยเป็นโรค ALS ในระยะต่างๆ และเนื่องจากไม่มีฟุตเตจของฮอว์คิงก่อนเขาจะป่วยเป็นโรคนี้ เรดเมย์นจึงจำต้องศึกษาบุคลิกท่าทางของนักฟิสิกส์ชื่อดังเอาจากภาพถ่ายสมัยเรียน เพื่อเติมเต็มเรื่องราวในตอนต้นขณะเขายังเป็นนักศึกษาปริญญาเอกแห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์และพบรักกับ เจน ไวลด์ ไม่มีใครบอกได้ชัดเจนว่าโรคร้ายเริ่มแสดงอาการขึ้นตอนไหน ผู้ป่วยที่เป็นโรค ALS หลายคนให้สัมภาษณ์ว่าพวกเขาค้นพบว่าตนป่วยเป็นโรคดังกล่าวหลังจากหกล้ม ดร.เคที ซิดเดิล ได้ข้อสรุปจากการสำรวจมือและเท้าในภาพถ่ายของฮอว์คิงสมัยยังเดินเหินเป็นปกติว่าเขาน่าจะป่วยเป็นโรคนี้แล้ว แต่ยังไม่รู้ตัวเอง เรดเมย์นชื่นชอบสมมุติฐานดังกล่าว เท้าหมดแรงมักจะเป็นอาการเริ่มต้น แต่คนป่วยมักไม่ทันสังเกตเห็นเวลานาน เพราะหัวเข่าช่วยออกแรงยกเท้าข้างนั้นขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่วันใดวันหนึ่ง หากคุณรีบเดินจ้ำ หรือวิ่งเร็วเกินไป หัวเข่าอาจตอบสนองไม่ทัน สุดท้ายเท้าก็จะทรุดและคุณก็จะสะดุดล้มเรดเมย์นอธิบาย

อย่างไรก็ตาม ความยากของการรับบทนี้ไม่ใช่แค่การแสดงให้เห็นสภาพร่างกายที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปของฮอว์คิงนับแต่ป่วยเป็นโรคร้ายเท่านั้น แต่ยังต้องสลับสับเปลี่ยนบุคลิกเหล่านั้นไปมาตลอดทั้งวันอีกด้วย เนื่องจากหนังไม่ได้ถ่ายทำเรียงตามลำดับเวลา กล่าวคือ ภายในระยะเวลา 12 ชั่วโมง เรดเมย์นต้องแสดงเป็นเด็กหนุ่มที่สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง (ปี 1963) ในตอนเช้า จากนั้นหลังทานมื้อเที่ยงเสร็จ เขาต้องเริ่มเดินโดยใช้ไม้เท้าพยุงร่างกายสองข้าง (ปลายทศวรรษ 1960) และพอตกเย็น เขาก็ต้องนั่งรถเข็นในสภาพพิการเต็มรูปแบบ (ปลายทศวรรษ 1980) พร้อมสื่อสารด้วยการใช้เสียงจากคอมพิวเตอร์ (ฉากหลังเป็นมหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น ทีมงานจำเป็นต้องถ่ายทำทุกเหตุการณ์ในหนังที่เกิดขึ้นที่นั่นให้เสร็จภายในวันเดียวเพื่อประหยัดงบประมาณ)

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรดเมย์นรับบทคนพิการ ก่อนหน้านี้ในปี 2011 เขาเคยแสดงเป็นคาวบอยขากะเผลกใน Hick มาแล้ว (เขาเข้าฉากโดยใส่ก้อนหินในรองเท้า) มันเป็นหนังเล็กๆ ที่แทบไม่มีใครรู้จัก แต่เป็นหนึ่งในผลงานที่เขาภาคภูมิใจ โชคชะตาดลบันดาลให้หนุ่มชาวอังกฤษอย่างเรดเมย์นใช้เวลาตลอดหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมารับบทเป็นชาวอเมริกันที่แปลกแยกจากสังคม ไม่ว่าจะเป็นบทเด็กหนุ่มมีปัญหาใน The Yellow Handkerchief หรือบทลูกชายเกย์ของ จูลีแอนน์ มัวร์ ใน Savage Grace (นอกจากนี้เขายังรับบทลูกชายเกย์อีกสองครั้งในละครเวทีเรื่อง The Goat และ Now or Later แต่ในชีวิตจริงเรดเมย์นเพิ่งแต่งงานไปกับ ฮันนาห์ แบคชอว์ นักค้าวัตถุโบราณจากสแตฟฟอร์ดไชร์ พวกเขาตกหลุมรักกันตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยรุ่น) มาร์ชนัดพูดคุยกับเรดเมย์นเนื่องจากเคยเห็นเขาประชันบทบาทกับ มิเชลล์ วิลเลียมส์ ได้น่าประทับใจใน My Week with Marilyn “มันอาจไม่ใช่การแสดงที่โดดเด่นมากมาย แต่ผมมองเห็นอะไรในตัวเขามากกว่าตัวละครที่เขารับเล่นหลังจากได้พบปะกันที่บาร์ มาร์ชก็ไปตามดูผลงานเรื่องอื่น และตื่นตะลึงกับการแสดงของเขาใน The Yellow Handkerchief “เอ็ดดี้กลายเป็นตัวละครได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ผู้กำกับ ทอม ฮูเปอร์ ซึ่งเคยร่วมงานกับเรดเมย์นใน Les Miserables และมินิซีรีย์เรื่อง Elizabeth I รู้สึกแบบเดียวกัน ความสามารถของเขาในการเป็นหนึ่งเดียวกับตัวละครที่เขาสร้างสรรค์ขึ้นมาถือเป็นพรสวรรค์ที่หาได้ยากยิ่ง บางครั้งคนดูก็ชื่นชอบการได้เห็นนักแสดงที่เขารู้จักและหลงรัก สวมบทบาทบนจอภาพยนตร์ แต่สำหรับเอ็ดดี้ เขาเลือกจะจมดิ่งเป็นตัวละครตัวนั้น ซึ่งนั่นต้องอาศัยทักษะและการทำงานอย่างหนักล่าสุดทั้งสองกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งใน The Danish Girl หนังที่เล่าถึงเรื่องราวชีวิตของจิตรกร ไอนาร์ เวกเนอร์ หนึ่งในบุคคลกลุ่มแรกที่เข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศ เขาใช้เวลาหลายเดือนฝึกฝนการเคลื่อนไหวร่างกาย พูดคุยกับสาวประเภทสองในอเมริกาและอังกฤษ อ่านทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถหาได้เกี่ยวกับเวกเนอร์ นักแสดงหนุ่มส่วนใหญ่ในวัยเดียวกันมักจะรับเล่นหนังหลายเรื่องและไม่มีเวลาทุ่มเทให้กับบทขนาดนั้น เขาใช้เวลาเตรียมตัวนานถึงหกเดือนก่อนจะมาเข้ากล้อ วินัยและแรงผลักดันอันแรงกล้าที่จะเข้าถึงบทบาทในระดับนี้ถือว่าไม่ธรรมดาเลย

ไม่มีความคิดเห็น: