จูน สควิบบ์ (Nebraska)
ครั้งแรกที่ได้เห็นตัวเองบนจอรับบทเป็นภรรยาปากเปราะของ
บรูซ เดิร์น ในหนังเรื่อง Nebraska จูน สควิบบ์ ถึงกับช็อกจนพูดไม่ออก การเติบใหญ่มาในเมืองเล็กๆ
ของรัฐอิลลินอยส์ ทำให้เธอประสบพบเห็นผู้หญิงเจ้ากี้เจ้าการและฝีปากจัดจ้านแบบเคทอยู่บ่อยๆ
แต่ระหว่างถ่ายทำเธอไม่ทันตระหนักเลยว่าทำไมเธอถึงรู้สึกว่าตัวเองรู้จักผู้หญิงแบบเคทดีเป็นพิเศษ
“ฉันคิดในใจว่า คุณพระช่วย นั่นมันแม่ฉันนี่” สควิบบ์สารภาพเมื่อได้เห็นตัวเองบนจอ “ฉันไม่เคยคิดมาก่อนว่าเคทจะเหมือนกับแม่ฉันขนาดนี้”
นักแสดงวัย
84 ปียอมรับว่าแม่ของเธออาจไม่ได้น่ารำคาญมากเท่าเคท แต่สิ่งหนึ่งที่ทั้งสองเหมือนกัน
คือ นิสัยคิดอะไรก็พูดแบบนั้น “เคทไม่เคยกลั่นกรองคำพูด อะไรก็ตามที่แวบเข้ามาในหัวจะทะลุออกปากเธอในทันที
เพราะเธอคิดว่าทุกคนก็กำลังคิดแบบเดียวกับเธอ รู้สึกแบบเดียวกับเธอ” สีสันจัดจ้านดังกล่าว (ในหนังขาวดำและท่ามกลางตัวละครชายที่ค่อนข้างประหยัดคำพูดคำจา)
ทำให้สควิบบ์กวาดคำชมของนักวิจารณ์มาอย่างถ้วนทั่วจากการกลับมาร่วมงานกับ
อเล็กซานเดอร์ เพย์น อีกครั้งนับแต่ About Schmidt เมื่อ 11
ปีก่อน ซึ่งเธอรับบทเป็นภรรยาที่น่าเบื่อหน่ายของ แจ๊ค นิโคลสัน
สควิบบ์ฝึกฝนทักษะการแสดงมานานกว่า
60 ปี โดยเริ่มต้นจากวงการละครเพลงผ่านบทสมทบใน The Boy Friend (1958) Gypsy (1959) และ The Happy Time (1968) ต่อมาเมื่อเธอแสดงความสนใจอยากหันมาเอาดีกับบทดรามาจริงจังดูบ้าง
อดีตสามีของเธอซึ่งเป็นครูสอนการแสดง ชาร์ลี คาแคทซาคิส
จึงแนะนำให้เธอแขวนรองเท้าเต้นแท็ปเป็นการถาวร “เดี๋ยวนี้คนส่วนใหญ่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันเคยแสดงละครเพลงมาก่อน”
เธอกล่าว แต่ความฝันของเธอใช้เวลาอยู่นานกว่าจะกลายเป็นจริง อาชีพในแวดวงภาพยนตร์ของเธอไม่ก้าวหน้าไปไหนจนกระทั่งเมื่อเธออายุได้
60 ปี และถูกว่าจ้างโดย วู้ดดี้ อัลเลน ให้มารับบทสมทบในหนังเรื่อง Alice จากนั้นเธอก็ได้เล่นบทเล็กๆ น้อยๆ ในหนังอีกหลายเรื่อง เช่น The
Age of Innocence, In & Out และ Meet Joe Black รวมไปถึงเป็นแขกรับเชิญในซีรีย์โทรทัศน์อย่าง Law & Order ก่อนจะเริ่มโด่งดังมากขึ้นจากบทใน About Schmidt
ด้วยความที่เคทเป็นบทซึ่งแตกต่างจากตัวละครที่เธอแสดงใน
About
Schmidt ราวฟ้ากับเหว
เพย์นจึงไม่เคยคิดจะจ้างเธอมาเล่นบทนี้ในตอนแรก
แต่หลังจากทดสอบหน้ากล้องนักแสดงหญิงไปมากมายหลายคน และไม่เจอใครที่ถูกใจเลย
เพย์นก็ได้รับเทปจากสควิบบ์ โดยเธอแสดงเป็นเคทในสองรูปแบบที่แตกต่าง รูปแบบแรกด้วยมาดที่ค่อนข้างโหด
ออกแนวตลกขบขัน กับอีกรูปแบบหนึ่งที่ดูตรงไปตรงมา ติดดิน และไม่ตลกเท่า เพื่อให้เขาเลือกตามสบายว่าอยากจะได้แบบไหน
หลังจากดูเทปไปเพียงหนึ่งนาที เพย์นก็รู้ทันทีว่าเขาได้ค้นพบเคทแล้ว “ผมคิดว่าผู้หญิงที่คุณเห็นบนจอเป็นส่วนผสมของบุคลิกโหดๆ กับบุคลิกที่ติดดิน
และยังรวมบุคลิกส่วนตัวของจูนเข้าไปด้วย” เจ้าของรางวัลออสการ์บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยมจาก
Sideways และ The Descendants กล่าว “ไม่มีอะไรที่เธอคนนี้ทำไม่ได้จริงๆ”
สำหรับ
จูน สควิบบ์ นั่นถือเป็นคำชมสูงสุดเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อออกมาจากปากของผู้กำกับที่ไม่เคยกล่าวยกย่องใครแบบพร่ำเพรื่อ
ลูพีตา นียังโก (12 Years a Slave)
การแสดงเป็นศาสตร์และศิลป์ที่เย้ายวนใจ
ลูพีตา นียังโก มาตั้งแต่เธอจำความได้ เธอมีเชื้อสายเป็นชาวเคนยา แต่ถือกำเนิดในประเทศเม็กซิโกหลังจากพ่อแม่เธอตัดสินใจขอลี้ภัยทางการเมือง
แต่ไม่นานต่อมาพวกเขาก็มีโอกาสย้ายกลับไปยังทวีปแอฟริกาอีกครั้ง ขณะที่ลูพีตายังเป็นทารกแบเบาะ
ประสบการณ์ทางด้านงานแสดงของเธอเริ่มต้นตอนอายุได้ 14 ปี เมื่อได้รับบทนำในละครเรื่อง
Romeo
and Juliet แต่ครั้งแรกที่เธอฝันอยากจะมีอาชีพเป็นนักแสดงเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นนานมาก
นับแต่เธอได้ดู The Color Purple สมัยเด็กๆ “นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นคนผิวดำในภาพยนตร์” นักแสดงสาว ซึ่งเพิ่งจะเรียนจบการแสดงจากเยลมาได้หนึ่งปีกล่าว
ยากจะเชื่อว่า
12 Years
a Slave เป็นหนังเรื่องแรกของนียังโก เพราะการแสดงของเธอนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังจนคนดูไม่อาจละสายตาได้
และหลอกหลอน น่าจดจำจนทำให้เธอกลายเป็นตัวเก็งลำดับต้นๆ บนเวทีออสการ์ เธอรับบท แพ็ทซี
ทาสหญิงผิวดำซึ่งกลายเป็นที่ต้องตาต้องใจของมาสเตอร์ เอ็ดวิน เอ็บบ์ เจ้าของไร่ฝ้ายจอมซาดิสต์
รับบทโดย ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ เธอเป็นขุมทรัพย์ที่ทรงคุณค่า ไม่ใช่เพียงเพราะความสวยเท่านั้น
แต่ยังหมายรวมถึงความสามารถในการเก็บฝ้ายได้ถึง 500 ปอนด์ต่อวัน
มากกว่าทาสชายส่วนใหญ่ถึงสองเท่า แต่นอกจากจะต้องจำทนรับการทารุณกรรมจากน้ำมือของเอ็บบ์แล้ว
เธอยังถูกภรรยาของเขา (ซาราห์ พอลสัน) ก่นด่าและลงไม้ลงมืออย่างโหดเหี้ยมอีกด้วย
จนบ่อยครั้งแพ็ทซีถึงกับเห็นความตายว่าเป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยปลดปล่อยเธอให้พ้นทุกข์
ผู้กำกับ
สตีฟ แม็คควีน เปรียบเทียบการค้นหานักแสดงหญิงที่จะมารับบทแพ็ทซีของเขาว่ายากลำบากและกินเวลานานไม่แพ้การค้นหา
สการ์เล็ตต์ โอ’ฮารา ในหนังเรื่อง Gone with the Wind โดยมีนักแสดงหญิงมากกว่า
1000 คนเดินทางมาทดสอบหน้ากล้อง ก่อนนียังโกจะเป็นผู้คว้าชัยไปครอง
เนื่องจากเธอสะท้อนจิตวิญญาณของแพ็ทซีได้ชัดเจนที่สุดผ่านบุคลิกภายนอกที่ดูเป็นมิตร
น่าคบหา แต่ภายในกลับซุกซ่อนความทุกข์ระทมเอาไว้เกินหยั่ง “ความซับซ้อน ขัดแย้งดังกล่าวเป็นสิ่งที่ดึงดูดฉันเข้าหาตัวละครตัวนี้”
นักแสดงสาววัย 30 ปีกล่าว “สิ่งสำคัญคือคุณต้องทำความเข้าใจการอยู่คู่กันของสองสิ่งข้างต้น
เข้าใจว่าทำไมคนที่พบเจอแต่ความมืดมิด ถึงยังเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาได้
เพราะยิ่งความเศร้าฝังรากลึกมากเท่าไหร่
คุณยิ่งสามารถบรรจุความสุขได้มากขึ้นเท่านั้น”
สองนักแสดงที่เป็นแรงบันดาลใจหลักของนียังโก
คือ ซิดนีย์ ปอยเตียร์ (“เพราะเช่นเดียวกับเขา ฉันก็เหมือนใครบางคนจากอีกโลกหนึ่ง พยายามจะพิสูจน์ตัวเองให้เป็นที่ยอมรับในอเมริกา”)
กับ ชาร์ลิซ เธรอน (“เธอเป็นนักแสดงที่กล้าหาญ
มักสร้างเซอร์ไพรซ์ให้คนดูได้เสมอ นั่นเป็นสิ่งที่ฉันอยากจะทำให้ได้แบบเดียวกัน
รับเล่นบทที่มีความเสี่ยงแตกต่างกันไป
และบีบให้ตัวเองต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่คุ้นเคย”) อย่างไรก็ตาม
คนหนึ่งที่ชื่นชมผลงานอันน่าประทับใจของเธอใน 12 Years a Slave อย่างออกนอกหน้า คือ โอปรา วินฟรีย์ ซึ่งไม่รีรอที่จะตรงเข้ามากอดนียังโกในห้องแต่งตัวระหว่างเตรียมให้สัมภาษณ์นิตยสาร
Hollywood Reporter พร้อมกับพูดว่า “เธอเล่นได้วิเศษสุดๆ” (อาจกล่าวได้ว่าผลงานของวินฟรีย์ในหนังเรื่อง
The Color Purple ซึ่งเธอถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม
ก็เป็นการเปิดตัวนักแสดงหน้าใหม่ที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน)
หลังจากปิดกล้อง
12 Years
a Slave ได้ไม่นาน (เธอเริ่มถ่ายทำก่อนจะเรียนจบ)
นียังโกก็แทบไม่มีเวลาได้หายใจหายคอจากประสบการณ์ที่สูบพลังงานชีวิตไปมากโข
(“การนวดเป็นครั้งคราว ฟังเพลง นั่งสมาธิ และกินอาหารอร่อยๆ
ช่วยให้ฉันผ่อนคลายได้ไม่น้อย”) เพราะเธอต้องตระเตรียมข้าวของเพื่อย้ายไปอยู่บรู้คลิน
และเริ่มต้นเดินตามเส้นทางเดียวกับ ชาร์ลิซ เธรอน ด้วยการรับโปรเจ็กต์ที่แตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
นั่นคือ หนังแอ็กชั่น-ทริลเลอร์ นำแสดงโดย เลียม นีสัน ซึ่งรับบทเป็นตำรวจอากาศที่ต้องปกป้องเที่ยวบินระหว่างประเทศให้พ้นจากภัยคุกคาม
ชื่อของหนังเรื่องนี้ช่างเหมาะจะนำมาอธิบายสถานการณ์ของนียังโกระหว่างช่วงเทศกาลแจกรางวัลเสียเหลือเกิน
นั่นคือ Non-Stop
เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ (American Hustle)
การขโมยซีนจากทีมนักแสดงระดับแนวหน้าอย่าง
คริสเตียน เบล, เอมี อดัมส์ และ แบรดลีย์ คูเปอร์ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ เจนนิเฟอร์
ลอว์เรนซ์ กล้าจะเสี่ยงและทำสำเร็จได้อย่างงดงาม บท โรซาลิน โรเซนเฟลด์
ภรรยาสติแตกที่มั่นใจไปเสียทุกอย่าง แม้ว่าทุกอย่างที่เธอทำจะผิดพลาดไปหมด
ส่งผลให้ลอว์เรนซ์กลายเป็นที่กล่าวขวัญถึงอย่างกว้างขวาง และอาจก้าวไปไกลขนาดทำให้เธอคว้ารางวัลออสการ์มาครองเป็นปีที่สองติดต่อกัน! นั่นถือว่าไม่เลวทีเดียวสำหรับคนที่ตั้งใจว่าจะหยุดพักหลังปิดกล้อง The
Hunger Games: Catching Fir และก่อนเปิดกล้อง X-Men:
Days of Future Past แต่แผนดังกล่าวก็ต้องพับไปเมื่อ เดวิด โอ. รัสเซลล์ ติดต่อให้เธอมาร่วมแสดงใน American
Hustle โดยรับบทเป็นภรรยา คริสเตียน เบล นักแสดงที่เธอชื่นชมและอยากร่วมงานด้วยมาตลอด “ผมคิดว่าตัวเองอาจเลินเล่อเกินไปถ้าอย่างน้อยก็ไม่บอกให้เธอรู้สักนิดเกี่ยวกับโครงการหนังเรื่องนี้”
รัสเซลล์เล่า “ผมเล่าถึงตัวละครไปได้แค่ครึ่งทาง
เธอก็รู้สึกตื่นเต้นแล้วที่จะได้เล่นเป็นแม่บ้านจริงๆ ในลองไอส์แลนด์ช่วงปี 1978 และการพลิกบทมาเล่นเป็นตัวปัญหาแทนบทแม่พระแสนดีอย่างใน The
Hunger Games ยิ่งทำให้เธอกระตือรือล้นมากขึ้นไปอีก”
ในหนังคนดูจะได้เห็นเธอเกือบเผาบ้านทั้งหลังด้วยเตาไมโครเวฟ
ลิปซิงค์พร้อมเต้นประกอบเพลง Live and Let Die และจูบปากกับ เอมี อดัมส์ ในฉากไฮไลท์ “แรงเงา”
ช่วงกลางเรื่องซึ่งเต็มไปด้วยความโกรธขึ้งและการระเบิดอารมณ์เจ็บแค้นที่เก็บกดไว้เป็นเวลานาน
เมื่อเมียหลวงกับเมียน้อยมาเผชิญหน้ากันในห้องน้ำ “ปกติฉันไม่ชอบอ้างเครดิตหรอกนะ
แต่จูบนั้นเป็นไอเดียของฉันเอง” อดัมส์กล่าว “ฉันไม่รู้ว่าทำไม บางทีอาจเป็นเพราะฉันอยากจูบเจนนิเฟอร์ก็ได้
เธอน่ารักจะตาย” จูบดังกล่าวเปรียบเสมือนคำขู่และการจู่โจมในลักษณะเดียวกับจูบที่
ไมเคิล คอร์ลีโอเน มอบให้พี่ชาย เฟรโด ในหนังเรื่อง The Godfather Part II (ก่อนจะลงเอยด้วยการที่ไมเคิลสั่งฆ่าพี่ชายแท้ๆ ของตัวเอง)
ตลอดช่วงสองปีที่ผ่านมา ดูเหมือนใครๆ ก็อยากจูบปากกับ เจนนิเฟอร์
ลอว์เรนซ์ หลังเธอคว้าออสการ์มาครองจาก Silver Linings Playbook นำแสดงในหนังอภิมหาฮิตอย่าง
The Hunger Games: Catching Fire ซึ่งตอนนี้ทำเงินรวมในอเมริกามากกว่า Iron
Man 3 (ใครว่าผู้หญิงไม่สามารถเปิดตัวหนังได้) และได้รับการโหวตจากนิตยสาร Time ให้เป็นหนึ่งในบุคคลที่ทรงอิทธิพลสูงสุดแห่งปี
2013 เธอเป็นหวานใจของชาวอเมริกันคนใหม่ แต่เสน่ห์อย่างหนึ่งของลอว์เรนซ์อยู่ตรงที่
ถึงแม้จะอยู่ในสถานะซูเปอร์สตาร์ แต่เธอก็ยังมีบุคลิกติดดิน เป็นกันเอง
จนไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใดเธอจึงกลายเป็นแบบอย่างที่เด็กสาววัยรุ่นชื่นชอบ (ส่วนบรรดาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่จำนวนไม่น้อยก็ชื่นชอบเธอมากเช่นกัน
แต่อาจจะด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง)
ความแตกต่างระหว่างลอว์เรนซ์กับบรรดานักแสดงขวัญใจวัยรุ่นคนอื่นๆ
อาทิ คริสเตน สจ๊วต อยู่ตรงที่เธอให้ความสำคัญกับสิ่งที่ปรากฏบนจอ กล้าที่จะพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดหย่อน
และหลีกเลี่ยงการถูกเลือกให้เล่นบทเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า (ยกเว้นว่าบทนั้นจะทำให้เธอกลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกและได้ค่าเหนื่อยก้อนโต)
โจดี้ ฟอสเตอร์ เขียนถึงเธอในนิตยสาร Time ว่า “ฉันจำความรู้สึกตอนดู Winter’s Bone เป็นครั้งแรกได้ดี ฉันคิดในใจว่า เด็กคนนี้เล่นหนังเป็น
แต่ที่น่าทึ่งยิ่งไปกว่านั้น คือ เพียงแค่ยืนเฉยๆ เธอกลับถ่ายทอดพลังได้มากมาย ความลับอันเจ็บปวดทั้งหลายสะท้อนชัดบนใบหน้า
เธอทำให้คนดูรู้สึกว่าตัวละครเคยผ่านอดีตเลวร้ายมาอย่างหนักโดยไม่จำเป็นต้องพูดสักคำ”
น่าทึ่งตรงที่ลอว์เรนซ์ดูเหมาะกับบทหนักหน่วง เคร่งเครียดแบบใน Winter’s
Bone และหนังชุด The Hunger Games แต่ขณะเดียวกันก็ลื่นไหลอย่างเป็นธรรมชาติไม่แพ้กันกับบทที่เปี่ยมอารมณ์ขันแบบใน Silver
Linings Playbook และ American
Hustle... บางทีคนที่สามารถสรุปใจความได้ชัดเจนที่สุดอาจเป็น โจนส์
ริเวอร์ส ซึ่งอาจไม่ค่อยถูกโฉลกกับนักแสดงหญิงรุ่นลูกและมักจะแอบจิกกัดเธอหลายครั้ง แต่สุดท้ายกระทั่งริเวอร์สเองก็ยอมรับว่า “เจนนิเฟอร์
ลอว์เรนซ์ เป็นนักแสดงระดับสุดยอด เธอคือ เมอรีล สตรีพ คนถัดไป”
จูเลีย โรเบิร์ตส์ (August: Osage County)
ในย่าน
แปซิฟิก พาลิเซดส์ ชุมชนเงียบสงบทางฝั่งตะวันตกของแอลเอ ผู้คนแถวนี้จะรู้จักคุ้นเคย
จูเลีย โรเบิร์ตส์ ในอีกสถานะหนึ่งที่ไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์ นั่นคือ คุณแม่ลูกสาม
ซึ่งสวมแว่นกันแดดไปช้อปปิ้งซื้อของในสภาพหน้าเปลือยและสวมยางรัดข้อมือสีสะท้อนแสงที่ลูกสาวเธอทำให้เป็นของขวัญ
แต่ก็ใช่ว่านักแสดงสาวใหญ่วัย 46 ปีจะหันหลังให้แสงสีกับพรมแดงเป็นการถาวรแต่อย่างใด
ตรงกันข้าม เธอเริ่มกลับมาอยู่ในความสนใจของทุกคนอีกครั้ง เมื่อบทบาทการแสดงในหนังเรื่องใหม่
ซึ่งดัดแปลงจากบทละครรางวัลพูลิทเซอร์เรื่อง August: Osage County กวาดคำชมจากนักวิจารณ์อย่างเป็นเอกฉันท์
นี่เป็นชีวิตสองด้านของโรเบิร์ตส์
คุณแม่และซูเปอร์สตาร์ที่รอยยิ้มบานฉ่ำกลายเป็นภาพติดตาของผู้คนนับล้านๆ ทั่วโลก
และถึงแม้ว่าปัจจุบันเธอจะไม่ได้ขึ้นปกนิตยสารแฟชั่นมากเหมือนในช่วงทศวรรษ 1990
แต่เธอก็ยังคงรักษาสถานะดาราเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ชื่อเสียงอันโด่งดังส่งผลให้เธอมีอิสระที่จะผันตัวเองจากเจ้าแม่ตลก-โรแมนติกผ่านหนังฮิตอย่าง
Pretty Woman และ My Best Friend’s Wedding มารับแสดงหนังที่ไม่ค่อยตลาดและค่อนข้างมืดหม่นอย่าง August: Osage
County เกี่ยวกับการรวมญาติของครอบครัวร้าวฉาน มันอาจไม่ได้ใช้ทุนสร้างมากมาย
แต่ในเวลาเดียวกันก็เป็นงานรวมดาราครั้งใหญ่ไม่ว่าจะเป็น เมอรีล สตรีพ, คริส คูเปอร์, ยวน แม็คเกรเกอร์ และ จูเลียต
ลูว์อิส
ตารางการถ่ายทำเป็นเวลานานสี่เดือนทำให้โรเบิร์ตส์ต้องจากลูกๆ
ไปเป็นครั้งแรก แต่โครงการสร้างหนังเรื่องนี้เย้ายวนใจเกินกว่าจะตอบปฏิเสธ
และเธอก็เคยดูเวอร์ชั่นละครเวทีมาก่อนตอนมันเล่นอยู่ที่บรอดเวย์ “คนชอบบอกว่าฉันช่างเลือกเพราะฉันติดลูกๆ”
อดีตนักแสดงหญิงหวานใจของชาวอเมริกันกล่าว “แต่ในฐานะนักแสดง มันเป็นเรื่องจำเป็นที่ฉันจะต้องตัดสินใจเลือกเล่นหนังอย่างระมัดระวัง
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องอีก เช่น ตอนนี้ฉันอายุ 46 ปีแล้ว
ฉะนั้นการตกเก้าอี้ไม่ใช่เรื่องน่าขำอีกต่อไป ฉันอาจสะโพกหลุดได้ ฉะนั้นบางอย่างที่อาจฟังดูเข้าท่าเมื่อ
10 ปีก่อน กลับไม่ดูน่าสนใจสำหรับฉันในตอนนี้อีกต่อไป”
ในการหวนคืนสู่เวทีออสการ์อีกครั้งหลังจากคว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงมาครองจาก
Erin
Brockovich เมื่อ 13 ปีก่อน โรเบิร์ตส์รับบทเป็นบาร์บารา หนึ่งในลูกสาว
3 คนที่กลับมายังบ้านเกิดเพื่อช่วยดูแลแม่ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง เนื่องจากมันเป็นบทที่เรียกร้องพลังจากนักแสดงค่อนข้างมาก
ทั้งในแง่การท่องจำบทสนทนาโต้ตอบที่ยืดยาว และการระเบิดอารมณ์หลากหลาย
โรเบิร์ตส์กับทีมนักแสดงจึงมักจะใช้เวลาว่างในช่วงกลางคืนที่บ้านของสตรีพ
ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกองถ่าย เพื่อทบทวนบทกันจนมืดค่ำ “บางคืนฉันจะกลับถึงบ้านในสภาพเสียงแหบแห้งเพราะต้องตะโกนมาตลอดทั้งวัน
แต่งานหนักเป็นสิ่งที่ช่วยให้พวกเราเอาตัวรอดมาได้
คุณไม่ควรเปิดโอกาสให้ตัวเองหยุดคิดว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในหนังมันน่าเศร้าและโหดร้ายขนาดไหน”
เพื่อใช้เวลาที่เหลืออยู่อย่างคุ้มค่า
บ่อยครั้งโรเบิร์ตส์จะเลือกเล่นหนังโดยดูจากรายชื่อของเพื่อนร่วมงานเป็นหลัก
สังเกตได้จากตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เธอทำหนังร่วมกับ ไคลฟ์ โอเวน, ทอม
แฮงค์ และผู้กำกับ ไมค์ นิโคลส์ คนละ 2 เรื่อง ส่วนผลงานถัดไปของเธอ คือ ร่วมแสดงหนังทีวีของค่าย
HBO เรื่อง The Normal Heart ดัดแปลงจากบทละครรางวัลโทนีเกี่ยวกับวิกฤติโรคเอดส์ในยุค
1980 กำกับโดย ไรอัน เมอร์ฟีย์ ซึ่งโรเบิร์ตส์เคยร่วมงานด้วยใน Eat, Pray,
Love หนังฮิตเรื่องล่าสุดของเธอเมื่อ 3 ปีก่อน
แซลลี ฮอว์กินส์ (Blue Jasmine)
โชคดูเหมือนจะเริ่มเข้าข้าง
แซลลี ฮอว์กินส์ บ้างแล้ว โดยหลังจากงานแสดงอันน่าตื่นตะลึงของเธอในหนังเรื่อง Happy-Go-Lucky ถูกออสการ์มองข้ามอย่างไม่น่าเชื่อ (แม้ว่าเธอจะคว้ารางวัลจากสมาคมนักวิจารณ์ใหญ่ๆ
อย่างนิวยอร์ก ลอสแองเจลิส และ National Society of Film Critics มาครองแบบครบถ้วน) ในที่สุดฮอว์กินส์ก็ถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์เป็นครั้งแรกจนได้ในอีก
5 ปีต่อมาผ่านผลงานอันน่าประทับใจไม่แพ้กันในหนังเรื่อง Blue Jasmine ซึ่งเธอสารภาพว่าได้มาเพราะโชคช่วย เนื่องจากระหว่างช่วงเวลาที่เริ่มมีการคัดตัวเลือกนักแสดง
เธอบังเอิญอยู่ในนิวยอร์กเพื่อถ่ายทำหนังอีกเรื่องพอดี ที่สำคัญ เธอโหยหาโอกาสที่จะได้กลับมาร่วมงานกับ
วู้ดดี้ อัลเลน อีกครั้งหลังจาก Cassandra’s Dream แต่สิ่งหนึ่งที่สร้างความวิตกกังวลให้เธอไม่น้อย
คือ นี่จะเป็นหนังเรื่องแรกที่เธอต้องแสดงโดยใช้สำเนียงอเมริกัน
และเธอก็มีเวลาเตรียมตัวเพียงแค่สองสามวันเท่านั้นก่อนหน้าการออดิชั่น
ฮอว์กินส์เล่าว่าในห้องออดิชั่นไม่มีกล้องด้วยซ้ำ
มีแค่อัลเลนกับแคสติ้งไดเร็คเตอร์คู่ใจ จูเลียต เทย์เลอร์ “ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก
คุณมีเวลา 10 นาทีในการอ่านบท มันให้ความรู้สึกเหมือนอลิซในดินแดนมหัศจรรย์ เพราะคุณต้องเดินผ่านกำแพงกระจกเข้าไป
มันเป็นห้องทำงานที่เขาใช้มาตลอดตั้งแต่ยุค 70 ค่อนข้างเรียบง่าย ติดดิน
ฉันอยากจะหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปผนังมาก มันน่าตื่นเต้นจริงๆ เหมือนคุณได้เข้าไปอยู่ในหัวสมองของวู้ดดี้”
เธอกล่าว
หลังจากได้รับเลือกให้มารับบทจิงเจอร์
น้องสาวของจัสมิน (เคท แบลนเช็ตต์) แล้ว
ฮอว์กินส์จึงมีโอกาสได้อ่านบทฉบับเต็ม ทั้งที่โดยปกติแล้วอัลเลนจะมอบบทให้นักแสดงเฉพาะฉากที่พวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องเท่านั้น
ความแตกต่างประการสำคัญจากขั้นตอนการถ่ายทำหนังทั่วๆ ไป คือ จะไม่มีช่วงเวลาสำหรับซ้อมบท
(ในทางตรงกันข้าม ไมค์ ลีห์
ผู้กำกับที่ฮอว์กินส์เคยร่วมงานด้วยมากกว่าหนึ่งครั้ง จะใช้เวลาซักซ้อมนักแสดงนานหลายเดือนก่อนเปิดกล้อง)
อย่างไรก็ตาม ฮอว์กินส์ได้มีโอกาสนัดพบแบลนเช็ตต์เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้อง
“เราอ่านบทด้วยกัน” นักแสดงสาวชาวอังกฤษเล่า
“และพูดคุยเกี่ยวกับชีวิตวัยเด็กของจัสมินกับจิงเจอร์ รวมถึงเหตุผลที่ว่าทำไมจิงเจอร์ถึงรู้สึกเหมือนเธอไม่ใช่ลูกสาวคนโปรดของแม่”
ปกติแล้วการได้ร่วมงานกับผู้กำกับที่เขียนบทหนังของตัวเองจะทำให้นักแสดงมีโอกาสไต่ถามเกี่ยวกับความเป็นมาของตัวละครได้อย่างอิสระ
แต่เนื่องจากอัลเลนมีลักษณะการทำงานแบบรวดเร็ว ฉับไว และไม่นิยมเจ๊าะแจ๊ะกับนักแสดง
ภาระหนักจึงตกอยู่บนบ่าของนักแสดง แต่ขณะเดียวกันวิธีการดังกล่าวก็เปิดโอกาสให้พวกเขาได้ใช้อิสระเพื่อการตีความอย่างเต็มที่
“เขาไม่มีเวลาจะมานั่งพูดคุยเกี่ยวกับตัวละคร เขาไม่สนใจว่าคุณมีขั้นตอนอย่างไร
เขาสนใจแค่การแสดงของคุณตรงหน้า ซึ่งฉันรักเขาที่เป็นแบบนั้น” ฮอว์กินส์กล่าว
จิงเจอร์เป็นตัวละครที่เปรียบเสมือนด้านกลับของจัสมิน
เธอมองโลกตามความเป็นจริงมากกว่า เธอเป็นเหมือนสายลมเย็นแสนสบาย
เมื่อเทียบกับพายุทอร์นาโดอย่างจัสมิน
ซึ่งแง่มุมผ่อนคลายของตัวละครเป็นสิ่งที่ฮอว์กินส์ถ่ายทอดออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นเดียวกับสำเนียงอเมริกันของเธอ
อย่างไรก็ตามในหนังเรื่องถัดไป ฮอว์กินส์จะได้กลับมาใช้สำเนียงอังกฤษอีกครั้ง
แม้ว่ามันจะเป็นการร่วมงานในหนังฮอลลีวู้ดฟอร์มยักษ์เรื่องแรกของเธอก็ตาม เพราะใน Godzilla เธอจะรับบทเป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ กระนั้นฮอว์กินส์ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกแยกเท่าไหร่เวลาอยู่ในกองถ่าย
เพราะตัวผู้กำกับ การ์เร็ธ เอ็ดเวิร์ดส์ ก็เป็นชาวอังกฤษเช่นกัน
และทีมนักแสดงก็ผสมผสานดาราดังจากหลายสัญชาติเข้าไว้ด้วยกันตั้งแต่ เคน วาตานาเบ้
ไปจนถึง จูเลียต บิโนช
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น