ในหนังเรื่อง
Y Tu
Mama Tambien ผู้กำกับ อัลฟอนโซ คัวรอน สอดแทรกเรื่องราวและแนวคิดเกี่ยวกับความตายเอาไว้ท่ามกลางฉากเซ็กซ์เร่าร้อนและมุกตลกทะลึ่งตึงตังผ่านเสียงบรรยายของบุคคลที่สาม
กล่าวคือ ขณะที่เหล่าตัวละครพากันกอบโกยความสุข ความอิ่มเอมเข้าใส่ชีวิต
เขายืนกรานที่จะย้ำเตือนคนดูให้ระลึกถึงปลายทางซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงของมนุษย์ทุกคน
ส่วนในผลงานอันน่าตื่นตะลึงชิ้นล่าสุด
คัวรอนได้จำลองภาพปลายทางดังกล่าวให้เห็นเป็นรูปธรรมผ่านอวกาศอันมืดมิด
ไร้จุดสิ้นสุด ความเงียบสงัดจนคุณได้ยินเพียงเสียงความคิดตัวเอง และความต่ำต้อย
กระจิริดของมนุษย์ท่ามกลางจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล
อวกาศแม้จะไร้ขอบเขต
หรือเส้นกั้น แต่มันกลับให้ความรู้สึกจองจำ ปิดขังมากกว่าจะมอบอิสรภาพ
ไม่ต่างจากโลงศพขนาดใหญ่ที่ค่อยๆ กลืนกินคุณ (ความมืดมิด ความเงียบ
และออกซิเจนอันจำกัด) ดุจเดียวกับภาพปิดท้ายช็อตแรกของหนัง
เมื่อ ดร. ไรอัน สโตน (แซนดร้า บูลล็อค) ลอยคว้างออกห่างจากกล้องจนกลายเป็นเพียงจุดเล็กๆ ในความมืดมิด
ซึ่งในเวลาเดียวกันภาพดังกล่าวก็ใช้สะท้อนภาวะทางจิตใจของตัวละครได้อย่างแยบยล
ตรงกันข้ามกับ
Y Tu
Mama Tambien หนังเรื่อง Gravity เล่าย้อนตลบถึงเรื่องราวของตัวละครที่เสมือนตายไปแล้ว
อย่างน้อยก็ในแง่จิตวิญญาณ แต่สุดท้ายเมื่อต้องเผชิญวิกฤติการณ์เฉพาะหน้าก็สามารถสะดุ้งตื่น
(หรืออาจเรียกได้ว่าเกิดใหม่หากสังเกตจากฉากสุดท้ายซึ่งถูกใช้ในแง่สัญลักษณ์)
แล้วกอบกู้ศรัทธาต่อชีวิตกลับคืนมาได้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ หนังเรื่องแรกพูดถึงตัวละครที่กำลังเพลิดเพลิน
ลุ่มหลง สนุกสนาน ก่อนจะพลันตระหนักถึงความเปราะบางของชีวิต ส่วนหนังเรื่องหลังพูดถึงตัวละครที่กำลังสิ้นหวัง
ก่อนจะพลันตระหนักถึงคุณค่าแห่งการดำรงอยู่... ถ้า Y Tu Mama Tambien เป็นคติธรรมสอนใจให้เห็นความไม่แน่นอนของชีวิต Gravity ก็คือ บทสรรเสริญความงามแห่งการยอมรับในปัจจุบัน แล้วเรียนรู้ที่จะปลดปล่อยอดีต
ความน่าสนใจของ
Gravity
อยู่ตรงที่มันผสานความขัดแย้งแบบขั้วตรงข้ามเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน
ทั้งในส่วนของเรื่องราว (ความตายกับการเกิดใหม่) การสร้างสรรค์ภาพ (ในช็อตหนึ่งของหนังกล้องเริ่มต้นด้วยภาพในมุมกว้างแบบแทนสายตาคนดู
ก่อนต่อมาจะค่อยๆ ขยับเข้าใกล้เป็นภาพโคลสอัพ
และด้วยความมหัศจรรย์ของเทคนิคพิเศษด้านภาพเคลื่อนเข้าสู่หมวกนักบินอวกาศมาเป็นมุมกล้องแทนสายตาตัวละครโดยไม่ต้องอาศัยการตัดภาพใดๆ!)
และข้อเท็จจริงที่ว่ามันเกือบจะเป็นหนังทดลองโดยเนื้อแท้ แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีพล็อตเรื่องให้คนส่วนใหญ่สามารถจับต้องได้
(แม่ที่พยายามจะทำใจยอมรับการสูญเสีย แล้วเดินหน้าชีวิตต่อไป/ นักบินอวกาศที่พยายามจะต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดท่ามกลางหายนะนานัปการ)
ตามสไตล์การเล่าเรื่องแบบคลาสสิก แม้ว่าโดยรวมแล้วพล็อตจะค่อนข้างเบาบาง
และเรียบง่ายเมื่อเทียบกับหนังตลาดเรื่องอื่น (แต่นัยยะทางศาสนา
ตลอดจนความลุ่มลึกในการนำเสนอก็ทำให้มันก้าวไปไกลกว่าหนังบล็อกบัสเตอร์อีกมากมาย)
ส่งผลให้คนดูสามารถเข้าถึงหนัง
ตลอดจนตีความหนังได้ทั้งในแง่รูปแบบและเนื้อหา จนไม่น่าแปลกใจว่าทำไมหลายคนถึงยกมันไปเปรียบเทียบกับหนังไซไฟระดับคลาสสิกอย่าง
2001: A Space Odyssey
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น