วันศุกร์, กุมภาพันธ์ 21, 2557

Oscar 2014: Best Supporting Actor



แบรดลีย์ คูเปอร์ (American Hustle)

ริชี ดีมาโซ ไม่ใช่ FBI แบบที่นักดูหนังคุ้นเคย และถึงแม้เรื่องราวใน American Hustle จะดัดแปลงจากเหตุการณ์จริงในช่วงปลายทศวรรษ 1970 แต่ดีมาโซเป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับ เดวิด โอ. รัสเซลล์ ผู้กำกับ และ แบรดลีย์ คูเปอร์ ผู้รับบทเป็นดีมาโซ ที่ตัวละครนี้จะต้องเปี่ยมสีสันไม่แพ้เหล่านักต้มตุ๋นที่เขาจะหลอกมาใช้จับนักการเมืองใจคด รวมถึงมาเฟียอีกสองสามราย ในตอนเริ่มต้นเรานั่งถกกันหลายรอบเพื่อสร้างตัวละครนี้ จนกระทั่งในที่สุดเราก็ค้นพบ ริชี ดีมาโซ ซึ่งมีบุคลิกเหมือนเด็กวัยรุ่นอายุ 15 ขวบที่อยากจะเข้าร่วมแก๊งเด็กป๊อปในโรงเรียน เขามีความทะเยอทะยาน แต่ปราศจากประสบการณ์ หรือความสุขุมเยือกเย็นพอจะรับมือกับสถานการณ์หนักๆคูเปอร์ ซึ่งควบตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างฝ่ายบริหารของหนังเรื่องนี้กล่าว เขาค่อนข้างไร้เดียงสา และเป็นตัวละครที่ผมสนุกจะสวมบทบาทมากที่สุดตั้งแต่เคยแสดงหนังมา

ก่อนเข้าฉากในแต่ละวันคูเปอร์ต้องใช้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมงนั่งดัดผม หลังจากเขาเป็นคนเสนอให้ตัวละครนี้ดัดผมเพื่อเลียนแบบบรรดานักเบสบอลผิวดำในยุคนั้นอย่าง ด็อค เอลลิส ซึ่งรัสเซลล์ก็เห็นด้วยกับไอเดียดังกล่าว ผมจะดัดผมเองทุกวันเพราะนั่นเป็นสิ่งที่ตัวละครในเรื่องทำ เช่นเดียวกับผู้ชายอีกหลายคนในช่วงปลายยุค 70 ผมไม่ได้ดัดผมด้วยเครื่องมือไฟฟ้ายุคใหม่ แต่จะใช้โรลม้วนผมขณะที่ผมยังเปียกอยู่ นี่มันออกจะน่าเศร้านิดหน่อยที่ผมรู้ขั้นตอนละเอียดขนาดนี้ ผมต้องใช้โรลทั้งหมด 110 อัน จากนั้นผมก็จะต้องนั่งอบผมเป็นเวลานานประมาณ 45 นาทีอดีตเจ้าของตำแหน่งผู้ชายที่เซ็กซี่ที่สุดของนิตยสาร People ประจำปี 2011 เล่า (ในหนังคนดูจะได้เห็นดีมาโซระหว่างขั้นตอนการใส่โรลม้วนผมด้วย ซึ่งเป็นฉากที่เรียกเสียงฮาจากผู้ชมได้ไม่น้อย)

ก่อนจะโด่งดังเหมือนทุกวันนี้ ชีวิตจริงของ แบรดลีย์ คูเปอร์ เคยดำดิ่งลงจุดต่ำสุดไม่ต่างจากตัวละครที่เขาแสดงใน Silver Linings Playbook และ American Hustle เขาติดเหล้า ติดยา และเคยเมาขนาดเอาหัวไปโขกกำแพงคอนกรีตในงานปาร์ตี้จนต้องถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ช่วงเวลานั้นเป็นตอนที่อาชีพนักแสดงของเขาเริ่มทำท่าจะไปได้สวยหลังแจ้งเกิดในหนังฮิตอย่าง Wedding Crashers ด้วยเหตุนี้ ขณะที่เขาอายุได้ 29 ปี คูเปอร์จึงตัดสินใจเลิกเหล้า เลิกยาเป็นการถาวร แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ ถ้าผมยังทำตัวแบบเดิมต่อไป ชีวิตผมคงไม่มีวันก้าวหน้าไปไหนนักแสดงหนุ่มวัย 38 ปีสารภาพ แน่นอนผลลัพธ์ที่ตามมาถือได้ว่าคุ้มค่า ตั้งแต่การร่วมแสดงนำในหนังฮิตอย่าง The Hangover และถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สองปีซ้อนในสาขานำชายเมื่อปีก่อนและสมทบชายในปีนี้        

การได้ร่วมงานกับ เดวิด โอ. รัสเซลล์ ช่วยพลิกผันอาชีพการแสดงของเขาสู่ความรุ่งโรจน์ ทำให้เขาหลุดพ้นจากการถูกตีตราด้วยหนังไตรภาคชุด The Hangover ผู้คนเริ่มมองเห็นเขาในฐานะนักแสดงคุณภาพมากขึ้น ส่งผลให้คิวงานของคูเปอร์ในตอนนี้เรียกได้ว่าแน่นขนัด ถัดจากปิดกล้อง American Hustle แล้ว เขาต้องรีบบินไปถ่ายทำหนังเรื่องใหม่ของ คาเมรอน โครว ที่ฮาวาย ร่วมกับ เอ็มมา สโตน และ ราเชล แม็คอดัมส์ ตามมาด้วยการรับนาวิกโยธิน คริส ไคล์ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นนักแม่นปืนที่อันตรายที่สุดของประวัติศาสตร์อเมริกา ผลงานกำกับของ คลินต์ อีสต์วู้ด โดยก่อนเข้ากล้อง คูเปอร์ต้องไปเข้าค่ายฝึกฝนเพื่อปรับสภาพร่างกาย ในระหว่างช่วงเทศกาลประกาศรางวัล อย่าแปลกใจถ้าคุณเห็นผมอ้วนขึ้นและย้อมผมสีแดง ผมไม่ได้ป่วยเป็นโรคอะไรหรอกรัสเซลล์กล่าวพร้อมเสียงหัวเราะ นอกจากนั้นในปีนี้ เขาจะมีหนังเรื่อง Serena เข้าฉายอีกด้วย (ปิดกล้องไปก่อน American Hustle) โดยเป็นการนำแสดงร่วมกับคู่หูคนเดิม เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ผลงานกำกับของ ซูซาน เบียร์


โจนาห์ ฮิล (The Wolf of Wall Street)

การได้รับเลือกให้แสดงหนังที่กำกับโดย มาร์ติน สกอร์เซซี เปรียบดังความฝันที่เป็นจริงของ โจนาห์ ฮิล ผมไม่แคร์ว่าใครจะด่าผมยังไงในบล็อกหรือในนิตยสาร ผมจะพูดแค่ว่า ก็ไม่รู้สินะ แต่สกอร์เซซีคิดว่าฉันเจ๋งว่ะนักแสดงหนุ่มวัย 30 ปีพูดติดตลก แต่กว่าจะได้บท ดอนนี เอซอฟฟ์ มานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ฮิลต้องไปทดสอบหน้ากล้อง แต่เขาไม่กล้าบอกข่าวนี้กับใครเพราะกลัวว่ามันจะกลายเป็นลางร้าย ฮิลเตรียมตัวด้วยการอ่านหนังสือและบทหนังเพื่อทำความเข้าใจตัวละคร ดอนนี่เป็นตัวละครที่โดดเด่นมาก ถึงแม้โดยส่วนตัวแล้วผมจะไม่ชอบหมอนี่เอาซะเลย เขาไม่แคร์ความรู้สึกของคนอื่น เขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองก้าวหน้าดอนนีเป็นสมุนมือขวาของ จอร์แดน เบลฟอร์ท (ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ) โบรกเกอร์ตลาดหุ้นที่โกยเงินมหาศาลด้วยการหลอกลวงบรรดานักลงทุนรายย่อย ผมเคยถามจอร์แดนว่ารู้สึกอย่างไรต่อสิ่งที่เขาทำกับชีวิตคนเหล่านั้น เขาตอบว่า ณ ขณะนั้นเขาจะกันความคิด ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีออกไป แต่ตอนนี้ถ้าย้อนเวลาได้ เขาคงไม่อยากร่ำรวยจากการทำนาบนหลังคน ก่อนจะตบท้ายว่า แต่โจนาห์ ตัวละครที่คุณเล่นน่ะ ชอบ ข้อเท็จจริงที่ว่าเขากำลังทำร้ายผู้คนให้เจ็บปวด มันเป็นคำพูดที่ทำให้ผมตระหนักถึงหัวใจของตัวละครอย่างดอนนี เข้าใจว่าทำไมเขาถึงกระทำการเลวร้ายต่างๆ แบบที่เห็นในหนัง

หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ The Wolf of Wall Street กลายเป็นหนังอื้อฉาวและถูกวิพากษ์อย่างหนัก คือ พฤติกรรมชั่วร้ายสุดขั้วของเอซอฟฟ์ ไม่ว่าจะเป็นการพ่นคำหยาบแบบไม่ยั้ง สูดโคเคนแทนอาหารเช้า (“ผมสูดโคเคนปลอมจนเป็นโรคหลอดลมอักเสบ ปอดผมเต็มไปด้วยแป้ง”) หรือมีส่วนร่วมในปาร์ตี้เซ็กซ์หมู่ (“มันน่าสะอิดสะเอียนพอควร คน 18 คนในสภาพเปลือยเปล่า อัดแน่นกันอยู่ในห้อง มันไม่เซ็กซี่แม้แต่น้อย”) และช่วยตัวเองต่อหน้าธารกำนัล (“ในฐานะนักแสดง การได้เห็นตัวเองกระทำการแบบนี้บอจอภาพยนตร์ถือเป็นกรณีสุดโต่งที่สุดแล้ว แต่ผมคิดว่ามันเป็นฉากที่มีความสำคัญมาก อย่างแรกเลยเพราะมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง และอย่างที่สอง หนังจะไปไม่ถึงจุดหมายที่วางไว้ หากไม่กล้าจะสะท้อนความเสื่อมทรามทั้งหลายที่เกิดขึ้น”)

ยากจะเชื่อว่าเด็กหนุ่มนิสัยดีที่พาแม่ไปร่วมงานออสการ์จะสามารถสวมวิญญาณดอนนีได้อย่างยอดเยี่ยม แต่สิ่งที่ไม่น่าแปลกใจ คือ เส้นทางการเลือกอาชีพเป็นนักแสดง เพราะกล่าวได้ว่าเขาเติบโตมาในแวดวงบันเทิง มีแม่ทำงานเป็นนักออกแบบเครื่องแต่งกาย พ่อเป็นนักบัญชีให้ศิลปินชื่อดังอย่าง มาดอนนา และ Gun N’Roses ขณะเดียวกันพี่ชายเขาก็ทำงานเป็นผู้จัดการวง Maroon 5 ฮิลเติบโตมาในแอลเอ แต่กลับเป็นนิวยอร์กที่เปิดโอกาสให้เขาได้แสดงหนังครั้งแรก โดยหลังจากสนิทสนมกับลูกๆ ของ ดัสติน ฮอฟฟ์แมน ผ่านละครเวทีเรื่องเล็กๆ ที่จัดแสดงในบาร์แห่งหนึ่งของแมนฮัตตัน ฮิลก็สร้างความประทับใจให้พ่อของพวกเขาจากการเล่นตลกแบบอิมโพรไวส์ ส่งผลให้ฮอฟฟ์แมนใช้เส้นสายดันเขาจนได้ไปออดิชั่นหนังเรื่อง I Heart Huckabee ของ เดวิด โอ. รัสเซลล์ และคว้าบทสมทบมาครอง หลังจากนั้นฮิลก็ห่างหายจากวงการไปนาน 3 ปี ก่อนจะกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ด้วยบทนำในหนังตลกเรื่อง Superbad ของ จัดด์ อพาโทว์

นับแต่นั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ฮิลยังจำได้แม่นถึงความรู้สึกเมื่อครั้งเห็นป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ที่มีใบหน้าเขาแปะหราอยู่ เขายืนกรานว่าคงไม่มีวันมายืนอยู่ตรงนี้ได้หากไม่ใช่เพราะอพาโทว์และ เซ็ธ โรแกน แต่ขณะเดียวกัน การพลิกผันอาชีพออกจากเส้นทางหนังตลกจนกลายเป็นที่ยอมรับในฐานะนักแสดงมากฝีมือ ถือเป็นเครดิตที่เขาต้องมอบให้กับตัวเองจากความกล้าที่จะบุกตะลุยสู่โลกที่เขาไม่คุ้นเคย ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบเล่นหนังตลกนะ ผมมีความสุขกับการทำให้คนหัวเราะมาก แต่พอตระหนักว่าผมประสบความสำเร็จบนเส้นทางนี้แล้ว... มันยังมีหนังอีกหลากหลายแนวที่ผมชื่นชอบ ผมหลงรักหนังดรามามากพอๆ กับหนังตลก ผมจะไม่มีทางพัฒนาฝีมือตัวเองได้ ถ้ามัวแต่ทำในสิ่งที่ตัวเองเคยทำไปแล้ว” 


บาร์ค็อด อับดี (Captain Phillips)

เรื่องราวชีวิตของ บาร์ค็อด อับดี นั้นหวือหวา น่าตื่นเต้นไม่แพ้หนังฮอลลีวู้ด เขาถือกำเนิดในประเทศโซมาเลีย แต่ก่อนจะทันได้เข้าเรียนในชั้นประถมศึกษา สงครามกลางเมืองก็ประทุขึ้นในปี 1991 ทำให้ครอบครัวเขาต้องหลบหนีความรุนแรงไปยังประเทศเยเมนตอนอับดีอายุได้ 7 ขวบ เขาเรียนรู้ภาษาอาราบิกจากการนั่งชมฟุตบอล จนกระทั่งเมื่ออับดีอายุได้ 14 ปี ครอบครัวเขาก็ชนะล็อตเตอรีกรีนการ์ดของอเมริกา และได้ย้ายถิ่นฐานไปอาศัยอยู่ในเมืองมินนิแอโปลิส ซึ่งมีชุมชนชาวโซมาเลียอพยพขนาดใหญ่ (ปัจจุบันมีชาวโซมาเลียอาศัยอยู่ในตัวเมืองมากถึง 14000 คน) โดยคราวนี้อับดีอาศัยเพลงของ Jay-Z กับซิทคอมเรื่อง Seinfeld เพื่อช่วยในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ

อับดีทำงานเป็นพนักงานขับรถลีมูซีนตอนได้เห็นรายงานข่าวทางทีวีว่าหัวหน้าฝ่ายแคสติ้งในหนังใหม่ของ ทอม แฮงค์ จะเดินทางมายังมินนิแอโปลิสเพื่อค้นหานักแสดงชาวโซมาเลีย อับดีจำข่าวเกี่ยวกับปล้นเรือบรรทุกสินค้าในปี 2009 ได้ดี ชาวโซมาเลียบางคนบอกว่าหนังเรื่องนี้จะสร้างความอับอายให้พวกเราทุกคนอับดีกล่าว แต่สำหรับผมนี่คือโอกาสครั้งสำคัญ และผมก็อยากลองดูสักตั้งระหว่างรอคิวทดสอบหน้ากล้อง อับดีเผอิญเจอเพื่อนอีก 3 คน ทั้งหมดจึงตัดสินใจซ้อมบทร่วมกันโดยเลือกฉากสำคัญตอนที่เหล่าโจรสลัดบุกขึ้นเรือบรรทุกสินค้าได้สำเร็จ หลังถูกเรียกตัวกลับมาทดสอบหน้ากล้องอีกหลายครั้ง ในที่สุดพวกเขาก็ได้บินไปพบผู้กำกับ พอล กรีนกราส ที่ลอสแองเจลิส

บาร์ค็อดมีบุคลิกน่ายำเกรงและคุกคามกรีนกราสกล่าว แต่ขณะเดียวกันก็มีบางอย่างซ่อนอยู่ลึกๆ ภายในที่ให้ความรู้สึกถึงความเป็นมนุษย์ปุถุชน ผมสัมผัสได้ถึงความรุนแรงโกรธขึ้งภายใน รวมทั้งความรู้สึกสิ้นหวัง ไร้ทางออก ซึ่งนั่นเป็นส่วนผสมที่ผมต้องการ

นอกจากนี้อับดีกับเพื่อนๆ ยังมีรูปร่างเหมาะกับบท ซึ่งหาไม่ได้ง่ายๆ ในหมู่นักแสดงผิวดำที่เกิดและเติบโตมาในอเมริกา นั่นคือ ผอมชะลูด เขาสูง 178 ซม. และหนัก 54 กก. ผมเกิดมาแบบนี้อับดีกล่าว ทั้งที่ผมกินทุกอย่างที่ขวางหน้าไม่ว่าจะเป็นเบอร์เกอร์ พาสต้า หรือข้าวเขากับเพื่อนๆ ได้รับเลือกให้มาแสดงร่วมกัน และต้องเดินทางไปประเทศมอลตา ซึ่งเป็นสถานที่ในการถ่ายทำ เพื่อเรียนรู้วิธีขับเรือและใช้ปืนก่อนเปิดกล้อง อับดีว่ายน้ำไม่เป็น เขาจึงต้องเรียนรู้วิธีทรงตัวอยู่บนเรือโจรสลัดที่โคลงเคลงตามกระแสน้ำ กรีนกราสจงใจกันเหล่านักแสดงโซมาเลียไม่ให้เจอกับ ทอม แฮงค์ เพื่อเพิ่มความสมจริงเมื่อทุกคนต้องเข้าฉากร่วมกัน ผมไม่อยากให้พวกเขารู้สึกยำเกรง หรือทำตัวสุภาพเรียบร้อย ผมต้องการให้พวกเขาเข้าถึงบทบาทกรีนกราสกล่าว

ความเชี่ยวชาญในการกำกับนักแสดงมือใหม่ผ่านประสบการณ์จากหนังอย่าง United 93 ตลอดจนบทเรียนจากการถ่ายทำหนังสารคดีมาก่อน ทำให้กรีนกราสไม่เคร่งครัดกับการบล็อคกิ้ง เพราะกล้องจะตามติดเหล่านักแสดงไปทุกที่อยู่แล้ว นอกจากนี้เขามักจะสนับสนุนให้นักแสดงอิมโพรไวส์บทพูดได้ตามที่เห็นสมควรเพื่อให้มันฟังดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น แทนการท่องบทแบบเป๊ะทุกตัวอักษร บาร์ค็อดมีจังหวะของตัวเอง เขาไม่ได้ยิงบทพูดตามคิว มันเป็นการแสดงที่ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมากรีนกราสกล่าวชื่นชมนักแสดงหน้าใหม่ของเขา อับดีบอกว่าเขารู้สึกเชื่อมโยงกับการดิ้นรนของตัวละครนี้ เพราะถึงแม้มูสจะเลือกเส้นทางความรุนแรง แต่โดยเนื้อแท้แล้วเขาก็แค่ต้องการจะมีชีวิตที่ดีกว่า พ่อแม่ผมพาผมออกจากประเทศมาได้ แต่ถ้าผมต้องอยู่ที่นั่นล่ะนักแสดงหนุ่มวัย 27 ปีกล่าว เชื่อแน่ว่าผมคงไม่เป็นเหมือนทุกวันนี้ ผมมองเห็นความจนตรอกในตัวละคร เขาต้องฟันฝ่าหลายสิ่งหลายอย่างกว่าจะมีโอกาสมายืนอยู่ ณ จุดนี้ ฉะนั้นเมื่อโอกาสอยู่ในมือแล้ว เขาจึงไม่ยอมปล่อยมันหลุดไปและทำทุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย


ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ (12 Years a Slave)

ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ ถือเป็นนักแสดงหนึ่งในไม่กี่คนที่สามารถปรับตัวกลมกลืนได้กับทั้งผลงานที่เน้นการศึกษาเจาะลึกตัวละครและท้าทายคนดูอย่าง Hunger และ Shame หรือผลงานบล็อกบัสเตอร์ทุนสูงอย่าง X-Men: First Class และ Prometheus ข้อพิสูจน์อันเด่นชัดถึงพลังการแสดงของเขา คือ กระทั่งผลงานในหนังตลาดเพื่อมวลชนก็ยังกวาดเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์มาครองอย่างเป็นเอกฉันท์ โดยล่าสุดการกลับมาร่วมงานกับ สตีฟ แม็คควีน ผู้กำกับคู่บุญอีกครั้งใน 12 Years a Slave น่าจะถือเป็นการผสมสองแนวทางข้างต้นเข้าไว้ด้วยกัน กล่าวคือ ในแง่หนึ่งมันเป็นหนังที่ค่อนข้างมืดหม่น เข้มข้นในแบบเดียวกับ Hunger และ Shame แต่ในอีกแง่หนึ่งมันก็เป็นหนังที่ลงทุนมากขึ้น และรวมดาราดังเอาไว้คับจออาทิ แบรด พิทท์, พอล จิอาแม็ตตี, เบเนดิกท์ คัมเบอร์แบทช์ และ พอล ดาโน โดยฟาสเบนเดอร์รับบทเจ้าของไร่ฝ้ายจอมโหด ที่ทรมานและทารุณทาสของเขาอย่างปราศจากเมตตา แต่ขณะเดียวกัน เอ็ดวิน เอ็บบ์ ก็เป็นตัวละครที่เคร่งศาสนา พร้อมกับใช้ไบเบิลเป็นข้ออ้างเพื่อตัดสินทาสในฐานะทรัพย์สมบัติ หาใช่มนุษย์ที่มีเลือดเนื้อจิตใจ

นี่ไม่ใช่การรับบทตัวร้ายครั้งแรก เพราะก่อนหน้านี้เขาก็เคยมอบชีวิตจิตใจให้กับแม็คนีโต ตัวละครที่สร้างจากหนังสือการ์ตูน ในหนังเรื่อง X-Men: First Class และกำลังจะหวนกลับไปย้อนรอยตัวเองอีกครั้งใน X-Men: Days of Future Past นอกจากนี้ นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องรับบทเป็นชายที่ซับซ้อนและสับสน เพราะแบรนดอนใน Shame ก็เป็นตัวละครที่อัดแน่นไปด้วยปมขัดแย้งภายใน แต่สำหรับ เอ็ดวิน เอ็บบ์ เขาอาจต้องขุดลึกลงไปอีกเพื่อหาเหตุผลให้กับหลากหลายการกระทำอันโหดเหี้ยม ไร้มนุษยธรรม

ผมพยายามค้นหาความเป็นคนให้กับตัวละครนี้แทนการถ่ายทอดเขาออกมาในลักษณะของปีศาจร้ายนักแสดงที่ถือกำเนิดในประเทศเยอรมันกล่าว เจ้านายกับทาสถือเป็นความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างซับซ้อน แน่นอนการเป็นทาสคือความเลวร้ายขั้นสูงสุด คุณถูกเฆี่ยน ถูกซ้อม ถูกข่มเหงทุกวันทุกคืน แต่ขณะเดียวกันผู้กระทำเองก็ย่อมได้รับผลกระทบจากความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานเหล่านั้นเช่นกัน เขาเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งที่ติดกับอยู่ในความอยุติธรรมทางสังคม ผมมักจะคิดว่าเอ็บบ์เป็นเหมือนหนองบนผิวหนัง เป็นตัวแทนที่สะท้อนให้เห็นว่าสังคมกำลังผุกร่อนมากแค่ไหนการที่เอ็บบ์พยายามจะสร้างความชอบธรรมให้กับพฤติกรรมของตนโดยใช้ศาสนาเป็นข้ออ้างถือเป็นจุดที่ฟาสเบนเดอร์เห็นว่ามีนัยยะสำคัญอย่างยิ่งในความพยายามจะทำความเข้าใจตัวละครนี้ พร้อมกันนั้นก็ช่วยอธิบายให้เห็นว่าเหตุใดผู้คนจึงกระทำการเลวร้ายเช่นนี้ในยุคสมัยแห่งการค้าทาส ผมคิดว่ามันแทบจะกลายเป็นของคู่กันไปแล้ว คนจำนวนไม่น้อยถือไบเบิลไว้ในมือข้างหนึ่ง ขณะมืออีกข้างหนึ่งก็ยิงจรวดมิสไซล์เข้าใส่ศัตรู ผมคิดว่าศาสนากับความเจ็บปวดบางครั้งมักจะเกิดควบคู่กันไป มันเป็นเหตุผลในการใช้กดขี่และควบคุมคน

มีอยู่หลายฉากใน 12 Years a Slave ที่ยากจะกล้ำกลืน เมื่อการทรมานถูกนำเสนออย่างสมจริงและหลายครั้งก็ยาวนาน จริงอยู่อาจไม่ใช่เรื่องง่ายในการทำความเข้าใจตัวละครอย่าง เอ็ดวิน เอ็บบ์ แต่ที่ยากยิ่งกว่า คือ การถ่ายทอดเขาให้ออกมาเป็นภาพบนจอ สมาธิและความเข้มข้นทางอารมณ์ต้องถูกกระตุ้นถึงจุดสูงสุดตลอดเวลา จนนักแสดงวัย 36 ปียอมรับว่าเขาแทบหมดแรงหลังจากถ่ายทำเสร็จในแต่ละวัน คุณต้องยกระดับตัวเองให้ได้มาตรฐานกับบทที่ยอดเยี่ยม และแน่นอน เราทุกคนเหนื่อยล้ากันมากเพราะจำเป็นต้องเคร่งเครียดกดดันกันตลอดทั้งวัน ผมคิดว่าสำหรับนักแสดง มันอาจไม่ใช่เรื่องดีนักที่จะทิ้งทุกอย่างไว้ในกองถ่าย แล้วกลับบ้านไปพักผ่อน แต่นั่นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับการถ่ายทำหนังเรื่อง


แจเร็ด เลโต (Dallas Buyers Club)

หลังห่างหายจากวงการภาพยนตร์ไปนาน 5 ปี และเมินเฉยใส่อีเมลห้าฉบับที่โปรดิวเซอร์หนังเรื่อง Dallas Buyers Club ส่งมาหาเขา ในที่สุด แจเร็ด เลโต ซึ่งขณะนั้นเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ก็ตัดสินใจสไกลป์พูดคุยกับผู้กำกับ ฌอง-มาร์ก วาลี ผมกำลังจะขึ้นเล่นคอนเสิร์ตต่อหน้าแฟนเพลงกว่า 100,000 คนแจเร็ด เลโต นักร้องนำของวงดนตรีร็อค 30 Seconds to Mars กล่าว มันเป็นเรื่องง่ายที่จะตอบปฏิเสธข้อเสนอให้แสดงหนังเรื่องหนึ่ง ในเมื่อความฝันของคุณกำลังกลายเป็นจริงต่อหน้าต่อตา

เลโตสร้างชื่อเสียงขึ้นมาในฐานะนักแสดงหนุ่มหล่อขวัญใจวัยรุ่นจากละครทีวีเรื่อง My So-Called Life ในช่วงทศวรรษ 1990 จากนั้นภายในเวลาเพียงไม่กี่ปีเขาก็กลายเป็นคลื่นลูกใหม่ไฟแรงที่น่าจับตามองของฮอลลีวู้ด ได้ร่วมงานกับผู้กำกับชื่อดังอย่าง เทอร์เรนซ์ มาลิค, เดวิด ฟินเชอร์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดาร์เรน อาโรนอฟสกี้ ซึ่งมอบบทนำให้กับเขาในผลงานชิ้นเอกเรื่อง Requiem for a Dream แต่แล้วช่วงกลางทศวรรษ 2000 หนังอินดี้สองสามเรื่องที่เขาร่วมแสดงเกิดอาการ แป้กทั้งในแง่ทำเงินและเสียงวิจารณ์ ส่งผลให้เลโตหมดกำลังใจ แล้วหันหลังให้กับฮอลลีวู้ดไปเป็นนักร้อง ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม แต่ถึงแม้แผ่นเสียงของเขาจะขายได้หลายล้านแผ่น มีกลุ่มแฟนเหนียวแน่นจำนวนไม่น้อย เลโตก็เริ่มคิดถึงการแสดงและบรรยากาศในกองถ่ายหนัง ด้วยเหตุนี้ ด้านหลังเวทีคอนเสิร์ตในกรุงเบอร์ลิน เขาจึงทาลิปสติกสีชมพู แล้วนั่งออดิชั่นบทกะเทยแต่งหญิงกับผู้กำกับวาลีผ่านทางอินเทอร์เน็ต ผมปลดกระดุมเสื้อโค้ท เผยให้เห็นสเวตเตอร์สีชมพูที่ใส่อยู่ข้างในเขาเล่าเหตุการณ์ในวันนั้น แล้วก็เริ่มเล่นหูเล่นตา

วันต่อมาเลโตได้รับเลือกให้เล่นบท เรยอน กะเทยที่จับมือร่วมกับช่างไฟฟ้าชาวเท็กซัส (แม็ทธิว แม็คคอนาเฮย์) เพื่อจำหน่ายยารักษาโรคเอดส์ที่คนหลังลักลอบขนเข้าประเทศมาอย่างผิดกฎหมาย ด้วยบุคลิกร็อคเกอร์ หลายคนอาจคาดว่าจะได้เห็นการแสดงแบบจัดหนัก แรงสุดติ่งชนิดฉุดไม่อยู่ แต่ความจริงแล้วเลโตกลับถ่ายทอดด้านที่อ่อนหวาน อบอุ่นของตัวละครออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ในหนังหลายเรื่องบทประเภทนี้มักจะถูกนำเสนอในลักษณะแบบเหมารวม เป็นตัวตลกซ้ำซากเลโต ซึ่งเตรียมตัวหาข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เหล่ากะเทยวัยรุ่นระหว่างทัวร์คอนเสิร์ต กล่าว เรามักจะเห็นผู้ชายใส่เสื้อผ้าผู้หญิงที่ชอบลุกขึ้นตะโกนมุกตลกบางอย่างแล้วก็วิ่งหายออกไปแน่นอน เรยอนไม่ใช่กะเทยเคร่งเครียด หรือเกลียดการเข้าสังคม ตรงกันข้ามแก๊กเด็ดๆ ในหนังส่วนใหญ่ล้วนหลุดออกมาจากปากเธอแทบทั้งสิ้น เพียงแต่มุกตลกเหล่านั้นไม่โฉ่งฉ่าง และยึดติดอยู่กับความเป็นจริงมากกว่าจะเพื่อเรียกเสียงหัวเราะเป็นหลัก ความคะนองปากเป็นเหมือนอาวุธหลักของเธอเลโตกล่าวถึงตัวละครที่ผลักดันให้เขาก้าวเข้าชิงรางวัลออสการ์เป็นครั้งแรก ถ้าคุณต้องใช้ชีวิตอยู่ในรัฐเท็กซัสช่วงปี 1985 และต้องไปเดินซูเปอร์มาร์เก็ตโดยแต่งตัวเป็นผู้หญิง คุณจะเรียนรู้ที่จะใช้อารมณ์ขันเป็นเครื่องมือป้องกันตัวเองเพื่อความอยู่รอด

เพื่อรับบทนี้ได้อย่างสมจริง เลโตต้องโกนขนตามร่างกายทิ้ง แล้วลดน้ำหนักลง 13 กก. จนเหลือน้ำหนักตัวแค่ 52 กก. มันเปลี่ยนวิธีการเดิน การพูด และระบบความคิดของคุณ รวมไปถึงวิธีที่ผู้คนปฏิบัติต่อคุณนักแสดงวัย 42 ปีกล่าวถึงน้ำหนักที่ลดลงฮวบฮาบ บางครั้งคุณจะเผลอเอนตัวพิงคนที่คุณกำลังพูดคุยด้วย เพราะคุณรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีพลังงานใดๆ หลงเหลือ มันเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงตัวคุณจากเดิมอย่างสิ้นเชิงหลายคนที่ทำงานอยู่ในกองถ่าย Dallas Buyers Club กล่าวว่าพวกเขาไม่มีโอกาสได้พบตัวจริงของเลโตจนกระทั่งหลายเดือนหลังปิดกล้องในรอบพรีเมียร์ที่เทศกาลหนังเมืองโตรอนโต ทั้งนี้เพราะเลโตยืนกรานที่จะสวมบทบาทเป็นเรยอนตลอด 25 วันของการถ่ายทำ สำหรับผมการ อยู่ในคาแร็คเตอร์หมายถึงความทุ่มเท สมาธิ และสำหรับบทที่หนักหน่วงและท้าทายแบบนี้ ผมจำเป็นต้องพุ่งความสนใจให้มันชนิดเต็มร้อย ผมไม่สามารถรวบรวมรายละเอียดทุกแง่มุมเกี่ยวกับตัวละครทั้งด้านร่างกายและจิตใจขึ้นมาอย่างรวดเร็วได้ทันทีที่ผู้กำกับสั่งแอ็คชั่น  

ไม่มีความคิดเห็น: