วันศุกร์, กุมภาพันธ์ 21, 2557

Oscar 2014: อยากเก็บเธอไว้ทั้งสามคน


ต้องยอมรับว่าออสการ์ปีนี้เป็นปีที่สูสีและยากจะคาดเดามากที่สุดนับแต่ปี 2000 เป็นต้นมา เมื่อรางวัลของสมาคมวิชาชีพต่างๆ ซึ่งมักจะใช้เป็นเครื่องหมายบ่งชี้ทิศทางของออสการ์มีความเห็นไม่ตรงกัน โดยในปีนั้น อังลี จาก Crouching Tiger, Hidden Dragon คว้า DGA ไปครอง ส่วนสมาคมนักแสดง (SAG) มอบรางวัลนักแสดงกลุ่มยอดเยี่ยม ซึ่งเทียบเท่ากับรางวัลภายนตร์ยอดเยี่ยมของสถาบันนี้ ให้กับ Traffic ส่วนสมาคมผู้อำนวยการสร้าง (PGA) กลับเลือก Gladiator เป็นหนังยอดเยี่ยม และแน่นอนอย่างที่เราทราบกันดีว่าผลสุดท้ายบนเวทีออสการ์จบลงตรงที่ Gladiator คว้ารางวัลสูงสุดมาครอง ส่วน สตีเวน โซเดอร์เบิร์ก ได้รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม

มาปีนี้ SAG มอบรางวัลใหญ่ให้กับ American Hustle ส่วน อัลฟอนโซ คัวรอน ก็คว้ารางวัล DGA มาครอง ขณะที่ PGA ช็อกทุกคนด้วยการประกาศว่า Gravity และ 12 Years a Slave ได้รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม “ร่วมกัน”! ผลดังกล่าวถือเป็นเรื่องเหลือเชื่อและไม่น่าจะเป็นไปได้ เมื่อพิจารณาว่า PGA ใช้ระบบลงคะแนนแบบเรียงลำดับเช่นเดียวกับออสการ์ ซึ่งคิดค้นขึ้นมาเพื่อจะได้หลีกเลี่ยงปรากฏการณ์คะแนนเท่ากันแบบนี้ อย่างไรก็ตาม ผลดังกล่าวพิสูจน์ให้เห็นว่าปีนี้ปราศจากตัวเก็งที่ทำคะแนนนำโด่ง ตรงกันข้าม มีหนังสามเรื่องที่วิ่งตีคู่กันมาชนิดหายใจรดต้นคอ ส่วนใครจะลงเอยเป็นคนชิงรางวัลสูงสุดไปครองคงต้องลุ้นกันต่อไป

ถ้าใช้สถิติเข้าตัดสิน โอกาสที่หนังจะได้รางวัลสูงสุดแล้วพลาดรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมนั้นถือว่าน้อยมาก ปีที่แล้ว หาก เบน อัฟเฟล็ก เข้าชิงในสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม เชื่อว่าเขาก็คงคว้ารางวัลไปครองอย่างแน่นอน ฉะนั้น ถ้าเรามองว่า อัลฟอนโซ คัวรอน เป็นตัวเก็งอันดับหนึ่งในสาขาผู้กำกับ นั่นก็หมายความว่า Gravity ควรจะได้รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วย อีกอย่างการได้ทั้ง PGA และ DGA ทำให้ตัวหนังนำหน้าคู่ต่อสู้อยู่นิดหน่อย

ปัญหาของ Gravity อยู่ตรงที่ 1) หนังไม่ได้เป็นที่รักในหมู่นักแสดง ซึ่งถือเป็นสมาชิกกลุ่มใหญ่สุด ดังจะเห็นได้จากการพลาดเข้าชิงรางวัลใหญ่ของ SAG แต่จุดนี้อาจเป็นเรื่องช่วยไม่ได้เนื่องจากหนังที่มีนักแสดงหลักๆ แค่สองคนย่อมยากจะถูกมองว่ามีการแสดง “กลุ่ม” ยอดเยี่ยม ปีก่อน Life of Pie ก็ประสบปัญหาเดียวกัน อย่างไรก็ตาม อย่างน้อย Gravity ก็มี แซนดร้า บูลล็อค ซึ่งนอกจากจะได้เข้าชิงสาขานำหญิงแล้ว เธอยังเป็นที่ชื่นชอบและทรงอิทธิพลในวงการพอควร (เมื่อเทียบกับเหล่านักแสดงโนเนมใน Life of Pie) และนี่เรายังไม่ได้นับรวมความป็อปปูล่าของ จอร์จ คลูนีย์ ในบทสมทบด้วยซ้ำ 2) หลายคนรู้สึกว่า Gravity เป็นเหมือน “เครื่องเล่นในสวนสนุก” เต็มไปด้วยเทคนิคพิเศษซึ่งแม้จะน่าตื่นตามากแค่ไหน แต่ก็ปราศจากความหนักแน่นทางเนื้อหา หรือการวิเคราะห์ตัวละครอันลุ่มลึก (พวกเขามองว่าการใส่ปมจิตวิทยาให้ตัวละครเอกและการเปรียบเทียบเชิงสัญลักษณ์ดูจงใจและไม่แนบเนียน) นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หนังไม่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงในสาขาสำคัญอย่างบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ส่งผลให้มันเผชิญชะตากรรมแบบเดียวกับ Avatar และ Titanic แต่สุดท้ายผลลัพธ์จะออกมาเหมือนเรื่องแรกหรือเรื่องหลัง? 3) ออสการ์ไม่ค่อยเมตตาหนังไซไฟสักเท่าไรนัก แต่ก็นั่นแหละทุกอย่างย่อมมีครั้งแรกเสมอ ไม่เชื่อก็ดูชัยชนะของ The Silence of the Lambs ได้

ความแข็งแกร่งของ 12 Years a Slave อยู่ตรงที่หนังได้แรงหนุนจากกลุ่มนักแสดงมากพอๆ กับกลุ่มช่างเทคนิคทั้งหลาย (ตัดต่อ ออกแบบงานสร้าง บท) และคว้ารางวัลสำคัญอย่าง PGA มาครอง (ครึ่งหนึ่ง) นอกจากนี้ อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นผลงานที่เข้าทางออสการ์มากกว่า Gravity เนื่องจากมีประเด็นหนักแน่น ดูเป็นหนัง “สำคัญ” ที่ไม่ได้เข้าถึงยากจนเกินไป การกวาดรางวัลนักวิจารณ์มาครองเยอะสุด (แม้จะไม่ใช่สถาบันใหญ่อย่างนิวยอร์ก แอลเอ หรือ National Society of Film Critics) แสดงว่ามันเป็นหนังที่คนสามารถเห็นพ้องต้องกันได้มากที่สุด เช่นเดียวกับกรณีของ Argo เมื่อปีก่อน อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักของหนัง คือ 1) หลายคนทนดูจนจบไม่ได้เนื่องจากความโหดร้ายและกดดัน 2) สตีฟ แม็คควีน ดูจะตกเป็นรอง อัลฟอนโซ คัวรอน อยู่พอตัว เพราะนักวิจารณ์หลายสถาบันอาจให้รางวัลสูงสุดกับ 12 Years a Slave แต่ขณะเดียวกันกลับมอบรางวัลผู้กำกับให้คัวรอนโดยพิจารณาจาก “ท่ายาก” และความสำเร็จอันงดงามท่ามกลางข้อจำกัดมากมาย 3) หลายคนแสดงท่าทีชื่นชม ยกย่องหนัง รวมไปถึงสุนทรียะทางภาพยนตร์ แต่ก็ไม่ได้ “รัก” มันพอจะยกรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมให้ ซึ่งตรงจุดนี้ Gravity หรือกระทั่ง American Hustle ดูจะมีภาษีดีกว่า

เช่นนี้แล้วบางทีหนังของ เดวิด โอ. รัสเซลล์ อาจได้เปรียบคนอื่นๆ อยู่เล็กน้อย กล่าวคือ มันดูสนุก ให้ความรู้สึกดีๆ แต่ก็มีเนื้อหาที่หนักแน่น จับต้องได้ด้วย มันได้เสียงสนับสนุนจากเหล่านักแสดงอย่างท่วมท้น สังเกตจากการเข้าชิงสาขาการแสดงทุกสาขาและคว้ารางวัลสูงสุดบนเวที SAG มาครอง แต่ไม่ถูกทอดทิ้งจากเหล่าช่างเทคนิคเช่นกัน (โดยเฉพาะการได้เข้าชิงในสาขา ชี้เป็นชี้ตายอย่างลำดับภาพยอดเยี่ยม) มันน่าจะกลายเป็นตัวเก็งอันดับหนึ่ง แต่กลับชวดทั้ง PGA (คาดว่าน่าจะมีคะแนนตามมาติดๆ) และ DGA อย่างไรก็ตาม Shakespeare in Love ก็เคยพลาดรางวัลจากสองสถาบันสำคัญนั้นและคว้ารางวัลออสการ์มาครองด้วยแรงผลักดันจากเหล่านักแสดงเป็นหลัก (หนังได้รางวัลนักแสดงกลุ่มยอดเยี่ยมจากเวที SAG) ด้วยเหตุนี้ American Hustle ก็อาจเดินตามรอยความสำเร็จนั้นได้

ความสูสีของการแข่งขั้นปีนี้ทำให้หลายคนมองว่าออสการ์อาจจะแบ่งแยกรางวัลหนังและผู้กำกับแบบเดียวกับเวทีลูกโลกทองคำ รวมไปถึงรางวัลของสถาบันนักวิจารณ์อีกหลายแห่ง นั่นคือ 12 Years a Slave คว้ารางวัลสูงสุด ส่วน อัลฟอนโซ คัวรอน ได้รางวัลผู้กำกับ แต่ตามสถิติแล้วเรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ และปีนี้เหล่าคู่แข่งคนสำคัญต่างก็ได้เข้าชิงกันครบถ้วน (ไม่เหมือนปีก่อน) ฉะนั้นผลรางวัลของสองสาขานี้น่าจะมีโอกาสตรงกันมากกว่าแยกจากกัน และการคว้ารางวัลสำคัญอย่าง DGA กับ PGA มาครองก็ทำให้ Gravity ได้เปรียบคู่แข่งอยู่เล็กน้อยทั้งในสาขาหนังและผู้กำกับ ตามมา ด้วย 12 Years a Slave และ American Hustle (ส่วนในสาขาผู้กำกับต้องยอมรับว่าคัวรอนออกจะวิ่งนำไปมากพอควร ชนิดที่ว่าหากแม็คควีน หรือรัสเซลล์ลงเอยด้วยการคว้าชัยชนะไปครองก็จะถือเป็นเรื่องพลิกล็อกครั้งใหญ่)

สำหรับสาขาการแสดง บรรดาตัวเก็งดูเหมือนจะเริ่มทิ้งห่างคู่แข่งมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อรูปแบบการเดินสายรับรางวัลเริ่มซ้ำรอยจนยากจะเห็นความเปลี่ยนแปลง ในสาขานักแสดงนำชาย แม็ทธิว แม็คคอนาเฮย์ กลายเป็นตัวเก็งอันดับหนึ่งหลังคว้าลูกโลกทองคำและ SAG มาครอง โดยอันดับสองที่กำลังพยายามไล่ควบมาติดๆ คือ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ซึ่งได้ลูกโลกทองคำมาเช่นกันในสาขาหนังเพลง/ตลก และที่สำคัญ The Wolf of Wall Street ถือเป็นการฉีกบทบาทครั้งใหญ่ โดยเปลี่ยนจากแนวดรามามาเล่นบทตลกซึ่งต้องอาศัยร่างกายและท่าทางในลักษณะเดียวกับ เจอร์รี ลูว์อิส หรือ จิม แคร์รี นอกจากนี้ ดิคาปริโอยังได้เปรียบตรงที่เขาเคยเข้าชิงออสการ์หลายครั้ง แต่อกหักมาตลอด (ผู้เข้าชิงคนเดียวในสาขานี้ที่มีออสการ์มานอนกอดแล้ว คือ คริสเตียน เบล ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นไม้ประดับ เพราะการที่เขาสามารถแทรกตัวเข้ามาแทน โรเบิร์ต เรดฟอร์ด กับ ทอม แฮงค์ ได้นั้นก็ถือเป็นความสำเร็จสูงสุดแล้ว) แต่ตรงข้ามกับสาขานำหญิง ซึ่งกรรมการนิยมเด็กใหม่หน้าเอ๊าะ ผู้ชนะในสาขานำชายมักต้องผ่านการพิสูจน์ตัวเองมานานจนเริ่มแก่หง่อมก่อน แถมกรรมการยังค่อนข้างกีดกันซูเปอร์สตาร์ด้วย  อีกปัจจัยหนึ่งที่ไม่อาจมองข้าม คือ ตัวละครเอกใน The Wolf of Wall Street สร้างความรู้สึกชิงชัง น่ารังเกียจโดยปราศจากพัฒนาการไปสู่ช่วงไถ่บาปแบบตัวละครเอกใน Dallas Buyers Club ซึ่งจุดนี้อาจเป็นตัวชี้ขาดว่าระหว่างดิคาปริโอกับแม็คคอนาเฮย์ใครจะเป็นฝ่ายคว้าชัยไปครอง

น่าสงสารก็แต่ ชิวเอเทล เอจีโอฟอร์ ขวัญใจรางวัลนักวิจารณ์ที่ตอนนี้กลายเป็นเพียงตัวเก็งอันดับสาม หลังจากวิ่งนำมาตลอดในช่วงโค้งแรก อย่างไรก็ตาม ชะตากรรมเดียวกันนั้นคงไม่เกิดขึ้นกับ เคท แบลนเช็ตต์ ซึ่งฝีเท้าดีมาตั้งแต่ต้นจนจบและน่าจะลงเอยด้วยการพุ่งเข้าเส้นชัยแบบสบายๆ หลังคู่แข่งสำคัญสองคนจากช่วงเทศกาลแจกรางวัลนักวิจารณ์อย่าง อเดล เอ็กซาร์โคพูลอส Blue Is the Warmest Color และ บรี ลาร์สัน จาก Short Term 12 ต่างพลาดการเข้าชิงทั้งคู่ ตอนนี้คนเดียวที่อาจจะสร้างเรื่องให้แบลนเช็ตต์นึกกังวลใจได้ คือ เอมี อดัมส์ ซึ่งออสการ์ชื่นชอบ แต่ยังไม่เคยมอบรางวัลให้เธอสักที น่าเสียดายที่บทของอดัมส์ใน American Hustle ไม่โดดเด่นเท่าที่ควร แล้วหลายครั้งยังโดนขโมยซีนจากเหล่านักแสดงของแรงอีกหลายคนด้วย เช่นเดียวกับ คริสเตียน เบล การที่เธอสามารถเบียดตัวเก็งอย่าง เอ็มมา ธอมป์สัน ให้ตกขอบไปได้น่าจะถือเป็นความสำเร็จในตัวเองแล้ว

อีกคนนอกจากแบลนเช็ตต์ที่หวนคืนสู่วงการภาพยนตร์อย่างยิ่งใหญ่ คือ แจเร็ด เลโต ซึ่งผันตัวไปเป็นร็อคเกอร์อยู่นาน 5 ปี บทกะเทยแต่งหญิงของเขาใน Dallas Buyers Club กวาดรางวัลมาครองแทบจะทุกสถาบัน และคงยากจะพลิกล็อกบนเวทีออสการ์เช่นเดียวกับแบลนเช็ตต์ เพราะเมื่อดูจากรายนามผู้เข้าชิงแล้ว ยังไม่มีใครแสดงวี่แววว่าจะสามารถขัดขาเลโตให้สะดุดล้มได้เลย บางทีม้ามืดจริงๆ อาจไม่ใช่นักแสดงมากเครดิตอย่าง ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ หรือ แบรดลีย์ คูเปอร์ แต่เป็น บาค็อด อับดี จาก Captain Phillips ซึ่งถึงแม้จะเล่นหนังเป็นเรื่องแรก แต่สามารถประกบนักแสดงสองรางวัลออสการ์อย่าง ทอม แฮงค์ ได้ชนิดไม่เกรงกลัวบารมี

จากทั้งหมด 4 สาขา นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมเป็นสาขาเดียวที่ยังพอจะมีอะไรให้ได้ลุ้น เนื่องจาก เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ (American Hustle) กับ ลูพิตา นียังโก (12 Years a Slave) ขับเคี่ยวกันมาอย่างสนุกสนาน คนแรกได้ลูกโลกทองคำไปครอง ส่วนคนหลังได้ SAG และว่ากันตามตรง หาก เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ไม่ได้เพิ่งคว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมมาครองในปีก่อนจาก Silver Linings Playbook เธอคงวิ่งนำทิ้งห่างนียังโกชนิดไม่เห็นฝุ่นแน่นอน แต่ออสการ์ชื่นชอบนักแสดงหน้าใหม่ในสาขานี้ (aka เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน) หรือคนที่เคยมีผลงานมาบ้างแต่เพิ่งเข้าชิงเป็นครั้งแรก (aka โมนีก) ดังนั้น แต้มต่อจึงยังตกเป็นของนียังโกเล็กน้อย

Snubs and Surprises

·   อย่างที่ทราบกันดีว่าปีนี้สาขานักแสดงนำชายนั้นถือว่าขับเคี่ยวกันเข้มข้น การชวดเข้าชิงของ โรเบิร์ต เรดฟอร์ด อาจเป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้และถูกคาดการณ์ไว้แล้ว เนื่องจากเรดฟอร์ดไม่ยอมเดินสายโปรโมต/โชว์ตัว ขณะที่หนังเรื่อง All Is Lost ก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ ดึงดูดใจนักเมื่อต้องนั่งชมผ่านแผ่นสกรีนเนอร์บนจอทีวี แต่กระนั้นการที่ ทอม แฮงค์ ก็ไม่ติด 1 ใน 5 เช่นกันถือเป็นเรื่องชวนช็อกไม่น้อย เพราะทุกคนต่างคาดเดาว่าเขาน่าจะเป็นตัวยืนพื้นไม่ต่างจาก แม็ทธิว แม็คคอนาเฮย์ และ ชิวเอเทล เอจีโอฟอร์ น่าสังเกตว่าสองคนที่มาเสียบตำแหน่งแทนนั้นล้วนเป็นนักแสดงนำจากกลุ่มตัวเก็งในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอย่าง The Wolf of Wall Street (ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ) และ American Hustle (คริสเตียน เบล) ขณะที่ Captain Phillips กลับไม่ใช่ตัวเก็งระดับแนวหน้าอย่างที่หลายคนทำนาย (พอล กรีนกราส ซึ่งได้เข้าชิง DGA กลับหลุดโผออสการ์)

·   การลงคะแนนแบบเรียงลำดับความชอบน่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ Saving Mr. Banks ไม่ปรากฏอยู่ในรายชื่อ 9 เรื่อง เพราะเทคนิคนี้ให้ความสำคัญกับหนังอันดับ 1 และ 2 มากกว่าหนังอันดับ 8 หรือ 9 ฉะนั้น แม้ว่าหนังของคุณจะสร้างปฏิกิริยาสุดโต่ง ชอบก็ชอบไปเลย เกลียดก็เกลียดสุดขั้ว แต่ถ้ามีคนโหวตให้มันติดอันดับ 1 มากพอ ก็มีโอกาสที่หนังจะหลุดเข้ามาชิงในสาขาสูงสุด (The Wolf of Wall Street คือ ตัวอย่างที่ชัดเจนของกรณีนี้) ในทางตรงข้าม หากหนังของคุณถึงแม้จะไม่มีใครเกลียด แต่ก็เป็นที่ชื่นชอบในระดับกลางๆ เท่านั้น โอกาสที่มันจะติด 1 ในหนังยอดเยี่ยมก็ย่อมเลือนราง ถึงตรงนี้ลองจินตนาการดูว่าจะเหลือใครบ้างที่โหวตหนังอย่าง Saving Mr. Banks ไว้อันดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การหลุดโผของ เอ็มมา ธอมป์สัน ในสาขานักแสดงนำหญิงถือเป็นเซอร์ไพรซ์ที่คาดไม่ถึง เพราะส่วนใหญ่เชื่อกันว่าบุคคลซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการโดนเขี่ยทิ้งมากที่สุด คือ เมอรีล สตรีพ แต่ผลลัพธ์สุดท้ายได้พิสูจน์แล้วว่าเราประเมินความรักที่คณะกรรมการมีต่อนักแสดงหญิงผู้นี้ต่ำเกินไป

·   ดวงของหว่องกาไวยังคงไม่สมพงศ์กับออสการ์สาขาหนังต่างประเทศยอดเยี่ยม เมื่อ The Grandmaster ไม่มีชื่อติด 5 เรื่องสุดท้าย แม้จะถูกเสนอชื่อเข้าชิงในสาขาออกแบบเครื่องแต่งกายและกำกับภาพยอดเยี่ยม บางทีนี่อาจไม่ใช่เรื่องน่าเซอร์ไพรซ์เท่าไหร่ เพราะกระทั่งมาสเตอร์พีซของเขาเรื่อง In the Mood for Love ซึ่งฮ่องกงเคยส่งเป็นตัวแทนประเทศเมื่อสิบสามปีก่อน ก็โดนออสการ์เมินไม่ให้เข้าชิงในสาขานี้มาแล้ว นับประสาอะไรกับหนังซึ่งได้คำวิจารณ์ค่อนข้างก้ำกึ่ง แถมยังมีหลากหลายเวอร์ชั่นความยาวจนคนสับสนอย่าง The Grandmaster

·   ฮาร์วีย์ ไวน์สตีน อาจผิดหวังที่ The Butler ซึ่งเริ่มต้นสร้างกระแสก่อนใคร ถูกชัทดาวน์จากเวทีออสการ์ (ส่วนหนึ่งต้องโทษหนังที่เข้าฉายทีหลังและมีเนื้อหาคล้ายกัน แต่กลับทำได้ลงตัวกว่า เข้มข้นกว่าอย่าง 12 Years a Slave) แต่อย่างน้อย August: Osage County ก็สามารถบรรลุเป้าหมายด้วยการเข้าชิงนำหญิงกับสมทบหญิง ส่วน Philomena กลับได้ดีเกินคาด โดยนอกจากจะได้เข้าชิงในสาขาที่ทุกคนคาดหมายไว้อย่างนำหญิงกับบทดัดแปลงแล้ว มันยังได้เข้าชิงในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและดนตรีประกอบยอดเยี่ยมอีกด้วย

·   ถึงแม้บทบาทการแสดงของ เดเนียล บรูห์ล ใน Rush จะกวาดคำชมอย่างท่วมท้นจากนักวิจารณ์ จนเขาถูกเสนอชื่อเข้าชิงทั้งบนเวทีลูกโลกทองคำและ SAG แต่การที่ Rush ไม่ใช่ตัวเก็งสำคัญในสาขาใหญ่ๆ ชื่อของเขาจึงถูกแทนที่ด้วย แบรดลีย์ คูเปอร์ (American Hustle) และ โจนาห์ ฮิล (The Wolf of Wall Street) บนเวทีออสการ์ การไม่ยอมพิจารณาตัวเลือกนอกกรอบของกรรมการส่งผลให้ค่าเฉลี่ยของการกระจายการเข้าชิงในสาขาสำคัญ (หนัง-ผู้กำกับ-นำชาย-นำหญิง-สมทบชาย-สมทบหญิง-บทดัดแปลง-บทดั้งเดิม) ของปีนี้ต่ำเตี้ยเรี่ยดินที่สุดในรอบ 30 ปี นั่นคือ 44 ตำแหน่งวนเวียนอยู่กับหนังแค่ 12 เรื่อง

·   แม้จะเป็นขวัญใจนักวิจารณ์ (ล่าสุดได้รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจาก National Society of Film Critics) แต่ Inside Llewyn Davis กลับไม่เป็นที่รักของกรรมการออสการ์ และหลุดเข้าชิงแค่สองสาขา คือ กำกับภาพและบันทึกเสียง บางคนเชื่อว่าพล็อตเรื่องเกี่ยวกับคนที่ล้มเหลวในอาชีพการงาน (แม้จะมีพรสวรรค์) ทำอย่างไรก็ไม่มีวันประสบความสำเร็จ หรือโด่งดังเป็นที่รู้จัก อาจ “แทงใจดำ” กรรมการหลายคน

·   ลูกโลกทองคำช่วยชุบชีวิตให้ แซลลี ฮอว์กินส์ ไม่ถูกหลงลืมหลังจากพลาดการเข้าชิงบนเวที SAG เช่นเดียวกับ นาตาลี พอร์ตแมน จาก Closer เมื่อ 9 ปีก่อน ขณะเดียวกัน ปรากฏการณ์ดังกล่าวก็ส่งผลให้เจ้าแม่ทอล์คโชว์ โอปรา วินฟรีย์ โดนเบียดหลุดจากโผ หลังจากในช่วงเริ่มต้นเทศกาลแจกรางวัลหลายคนคาดเดาว่าเธอไม่เพียงจะได้เข้าชิงเท่านั้น แต่ยังอาจจะคว้ารางวัลมาครองด้วยซ้ำ

·   ม้าตีนปลายของออสการ์ปีนี้ ได้แก่ The Wolf of Wall Street ซึ่งเข้าฉายช้ากว่าใคร ส่งผลให้มันหลุดโผรางวัลนักวิจารณ์หลายแห่ง รวมถึงเวที SAG แต่ออสการ์ก็ชดเชยให้อย่างหนำใจ ด้วยการเสนอชื่อเข้าชิงในสาขาใหญ่ๆ อย่าง หนัง ผู้กำกับ นำชาย สมทบชาย และบทภาพยนตร์ดัดแปลง งานนี้ต้องถือว่าประเด็นอื้อฉาว (มีคนโจมตีว่าหนังเชิดชูพฤติกรรมไร้ศีลธรรม หรือขาดสำนึกผิดชอบชั่วดีของตัวละครเอก) ตลอดจนการเดินสายแก้ต่างตามสื่อต่างๆ ของ มาร์ติน สกอร์เซซี และ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ช่วยผลักดันหนังได้มาก แม้ว่าความแรงของเนื้อหาที่เกี่ยวพันกับเซ็กซ์ ยาเสพติด และการฉ้อฉล จะทำให้หนังสูญเสียคะแนนโหวตจากกลุ่มคนแก่อนุรักษ์นิยม แต่ขณะเดียวกันก็ช่วยผลักดันให้มันกลายเป็นที่จับตามอง จนกรรมการเลือกจะหยิบแผ่นสกรีนเนอร์ขึ้นมาพิสูจน์ข้อกล่าวหา (ทีมโปรโมตหนังมักให้สัมภาษณ์อยู่เสมอว่าความท้าทายสูงสุดในการปั้นหนังให้เข้าชิงรางวัลออสการ์ คือ ทำอย่างไรให้คณะกรรมการอยากจะหยิบหนังของคุณขึ้นมาดูท่ามกลางกองสกรีนเนอร์นับร้อยเรื่อง และหนังอย่าง All Is Lost ดูจะได้บทเรียนที่เจ็บแสบที่สุด)

All about the Stats

·   เมอรีล สตรีพ ยังคงเดินหน้าทำลายสถิติของตัวเองต่อไปชนิดที่คงไม่มีนักแสดงหน้าไหนสามารถโค่นบัลลังก์เธอได้ในชาตินี้ หรืออาจรวมไปถึงชาติหน้าด้วยเลยก็ได้ การเข้าชิงจาก August: Osage County ถือเป็นครั้งที่ 18 (นำหญิง 15 ครั้ง สมทบหญิง 3 ครั้ง) ทิ้งห่างอันดับสอง คือ แคเธอรีน เฮบเบิร์น และ แจ๊ค นิโคลสัน ซึ่งเข้าชิงคนละ 12 ครั้ง ชนิดไม่เห็นฝุ่น

·   อย่างไรก็ตาม นั่นถือเรื่องจิ๊บจ๊อยเมื่อเทียบกับ จอห์น วิลเลียมส์ ที่ได้เข้าชิงเป็นครั้งที่ 49 จากการทำดนตรีประกอบให้กับหนังเรื่อง The Book Thief สถิติของเขาถือเป็นการเข้าชิงมากครั้งที่สุดสำหรับบุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ยังน้อยกว่า วอลต์ ดิสนีย์ ผู้ถือครองสถิติตลอดกาล อยู่ 10 ครั้ง

·   American Hustle เป็นหนังเรื่องที่ 14 ที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงในสาขาการแสดงแบบครบถ้วน และเป็นหนังเรื่องที่สองติดต่อกันของ เดวิด โอ. รัสเซลล์ ที่ทำสำเร็จหลังจาก Silver Linings Playbook เมื่อปีก่อน นอกจากนี้ นักแสดงทั้งสี่คนจาก American Hustle ยังเคยเข้าชิง หรือกระทั่งคว้ารางวัลออสการ์มาครองจากการเล่นหนังให้ เดวิด โอ. รัสเซลล์ อย่างครบถ้วนอีกด้วย (เอมี อดัมส์ กับ คริสเตียน เบล จาก The Fighter และ เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ กับ แบรดลีย์ คูเปอร์ จาก Silver Linings Playbook)

·   นี่ถือเป็นครั้งแรกนับแต่ปี 1994 ที่ออสการ์สาขานำหญิงปราศจากนักแสดงที่เพิ่งเคยเข้าชิงออสการ์เป็นครั้งแรก โดย เอมี อดัมส์ เป็นคนเดียวที่ยังไม่มีออสการ์ในครอบครอง และบทบาทของเธอใน American Hustle ก็ถือเป็นการเข้าชิงสาขานำหญิงครั้งแรก หลังจากผูกขาดสาขาสมทบหญิงมาตลอด 4 ครั้งก่อน (นี่เป็นการเข้าชิงครั้งที่ 5 ของเธอในรอบ 9 ปี... ใครว่าออสการ์รักแต่ เมอรีล สตรีพ)

·   Despicable Me 2 เป็นหนังการ์ตูนภาคต่อเรื่องแรกที่ได้เข้าชิงออสการ์หลังจากภาคแรกชวดการเข้าชิง ในทางตรงกันข้าม นี่ถือเป็นปีที่สองที่พิกซาร์ไม่มีผลงานเข้ารอบสุดท้าย โดย Monster University และ Cars 2 ล้วนเป็นหนังภาคต่อ/ภาคก่อนหน้าของการ์ตูนที่เคยเข้าชิงออสการ์ทั้งคู่

·   โรเจอร์ ดีกินส์ ถูกเสนอชื่อเข้าชิงเป็นครั้งที่ 11 จาก Prisoners ทำสถิติเป็นตากล้องที่เข้าชิงสูงสุดแต่ยังไม่เคยคว้ารางวัลมาครอง

·   American Hustle ถือเป็นการเข้าชิงออสการ์ครั้งที่ 3 ติดต่อกันของ เดวิด โอ. รัสเซลล์ ส่งผลให้เขากลายเป็นผู้กำกับขวัญใจออสการ์คนใหม่แทนที่ สตีเฟน ดัลดรี ซึ่งเสียประวัติไปกับ Extremely Loud and Incredibly Close ส่วนขวัญใจออสการ์ตลอดกาลน่าจะเป็น มาร์ติน สกอร์เซซี ที่เข้าชิงในสาขาผู้กำกับแทบทุกครั้งนับแต่ Gangs of New York (หนังเรื่องเดียวที่เขาพลาดเข้าชิง คือ Shutter Island) และตลอด 5 ครั้งที่ได้เข้าชิงจากการกำกับหนัง 6 เรื่องนั้น เขาคว้ารางวัลมาครองหนึ่งครั้งจาก The Departed โดยรวมแล้ว The Wolf of Wall Street ถือเป็นการเข้าชิงครั้งที่ 8 ของเขาในสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม

·   วู้ดดี้ อัลเลน ทำลายสถิติตัวเองในสาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม โดย Blue Jasmine ถือเป็นการเข้าชิงครั้งที่ 16 ของเขา

·   อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นปีของคนแก่ บรูซ เดิร์น (77) จาก Nebraska ทำสถิติเป็นนักแสดงชายที่อายุมากสุดอันดับสองที่เข้าชิงในสาขานำชาย เป็นรองแค่ ริชาร์ด ฟาร์นส์เวิร์ธ (79) จาก The Straight Story ส่วน จูน สวิบบ์ (84) ที่เข้าชิงจากหนังเรื่องเดียวกันก็ทำสถิติเป็นผู้อาวุโสอันดับสามในสาขาสมทบหญิง เป็นรองแค่ กลอเรีย สจ๊วต (87) จาก Titanic และ รูบี้ ดี (85) จาก American Gangster

What the Nominees Are Saying

·   อเล็กซานเดอร์ เพย์น นอนหลับอยู่ตอนมีคนโทรศัพท์มาแจ้งข่าว พวกเขาแสดงความยินดีกับผมที่หนังได้เข้าชิง แต่ไม่ได้เจาะจงลงไปว่าใครเข้าชิงบ้าง ผมเลยต้องไปกูเกิลดูรายชื่อถึงได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นซึ่งก็คือเขาถูกเสนอชื่อเข้าชิงในสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม มันยอดเยี่ยมมาก และน่าจะส่งผลดีกับตัวหนัง ผมมีความสุขเป็นพิเศษที่ได้เห็น บรูซ (เดิร์น) กับ จูน (สควิบบ์) เข้าชิง ผมรู้ว่ามันมีความหมายกับพวกเขามากแค่ไหนนอกจากนี้เขายังปลาบปลื้มที่ตากล้องคู่ใจ ฟีดอน ปาปาไมเคิล ได้เข้าชิงในสาขากำกับภาพยอดเยี่ยม เราร่วมงานกันมานาน แต่เขาไม่เคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงเลยจนกระทั่งวันนี้ เขาเป็นคนที่ผมลุ้นให้เข้าชิงมากที่สุด

·   “ฉันตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูกลูพีตา นียังโก ซึ่งถูกเสนอชื่อเข้าชิงเป็นครั้งแรกจาก 12 Years a Slave กล่าว หนึ่งปีก่อนฉันไม่เคยนึกฝันเลยว่าวันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคมจะลงเอยแบบนี้คืนก่อนหน้าเธอพักอยู่ในโรงแรมกับเพื่อนสนิท พลางโต้เถียงกันว่าควรตื่นขึ้นมาดูการประกาศรายชื่อหรือไม่ สุดท้ายฉันก็ตัดสินใจได้ว่าในเมื่อยังไงฉันก็ต้องรู้ผลอยู่ดี ทำไมไม่ตื่นมาดูเองให้เห็นกับตาไปเลย ฉันจำได้ว่ารู้สึกโกรธคนอ่านข่าวพยากรณ์อากาศมาก พยายามเร่งให้เขาอ่านจบเร็วๆ หัวใจฉันเต้นรัวแบบไม่หยุด

·   อีริค ซิงเกอร์ ซึ่งร่วมเขียนบทหนังเรื่อง American Hustle แทบไม่ได้นอนตลอดทั้งคืนเพราะลูกสาวเขาร้องไห้ไม่หยุด ฉะนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่เขาจะตื่นมาไม่ทันดูการถ่ายทอดสด แม้จะตั้งนาฬิกาปลุกไว้แล้วก็ตาม ผมกำลังหลับเป็นตายตอนภรรยามาปลุกเพื่อบอกข่าวดีแต่หลังจากรื่นเริงอยู่ได้แค่ไม่กี่นาที เขาก็ต้องกลับคืนสู่โลกแห่งความเป็นจริง สุนัขผมอึรดพรม จากนั้นลูกๆ ก็ตื่นนอน ผมต้องแต่งตัวพวกเขาให้พร้อมไปโรงเรียอย่างไรก็ตาม เขาได้ทยอยส่งอีเมลแสดงความยินดีให้กับทุกคนในหนังเรื่องนี้ผมอยากขอบคุณเดวิด (โอ. รัสเซลล์) ทีมนักแสดงชั้นยอด และโปรดิวเซอร์ ผมรู้สึกยินดีและภูมิใจมาก

·   “ทันทีที่เห็นชื่อโจนาห์ (ฮิล) เข้าชิงในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ฉันรู้สึกได้เลยว่าหนังของเรากำลังไปได้สวยเอ็มมา ทิลลิงเกอร์ คอสคอฟฟ์ โปรดิวเซอร์หนังเรื่อง The Wolf of Wall Street กล่าว ฉันรู้ดีว่ามาร์ตี้ (สกอร์เซซี) กับ ลีโอ (ดิคาปริโอ) ต้องต่อสู้อย่างหนักแค่ไหนกว่าหนังเรื่องนี้จะสามารถเปิดกล้องได้ แต่ฉันรู้สึกว่าโจนาห์ถูกมองข้ามไป ฉันจึงดีใจมากที่คณะกรรมการเห็นว่างานแสดงของเขาในหนังยอดเยี่ยมแค่ไหนคอสคอฟฟ์บอกว่ามือถือเธอหยุดทำงานไปเลยหลังจากต้องรับข้อความแสดงความยินดีและสายเข้าแบบไม่หยุด ส่วนแผนการฉลองของเธอคือไปแต่งหน้าทำผมเพื่อร่วมงานประกาศผล Critics’ Choice Award

·   “ผมมีความสุขมากบรูโน เดลบอนเนล ตากล้องจาก Inside Llewyn Davis กล่าว แต่ผิดหวังที่ โจเอล กับ อีธาน โคน ไม่ถูกเสนอชื่อเข้าชิง เพราะถ้าไม่มีพวกเขา ก็คงไม่มีหนังเรื่องนี้นี่เป็นการเข้าชิงครั้งที่สี่ของเดลบอนเนล แต่เป็นครั้งแรกจากหนังของสองพี่น้องโคน ส่วนตากล้องขาประจำของสองพี่น้องโคน คือ โรเจอร์ส ดีกินส์ ก็ถูกเสนอชื่อเข้าชิงเช่นกันจากหนังเรื่อง Prisoners “การมีชื่อของเขาเข้าชิงด้วยมันวิเศษสุดเดลบอนเนลพูดถึงดีกินส์ ผมชื่นชมผลงานของเขามาตลอด และผลงานของตากล้องคนอื่นๆ ที่ได้เข้าชิงในปีนี้ด้วย การมีชื่อร่วมเข้าชิงกับพวกเขาทำให้ผมรู้สึกภูมิใจมาก

·   “ผมอยู่ในห้องรับแขกกับภรรยาที่เมืองโคเปนเฮเกนโธมัส วินเทอร์เบิร์ก ผู้กำกับหนังเรื่อง The Hunt เล่าถึงนาทีของการประกาศรายชื่อ มันเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขและความภาคภูมิใจ เราเพิ่งกลับจากงานประกาศผลลูกโลกทองคำได้สองวัน และยังเจ็ทแล็กอยู่ ผมแวะไปที่ Zentropa (Entertainment) เพื่อดื่มแชมเปญฉลอง และตอนนี้เรากำลังนั่งรถแท็กซี่กลับบ้าน ลูกชายวัย 18 เดือนของเราฉลองการเข้าชิงด้วยการฟาดดีวีดี The Hunt กับสเตอรีโอของผม เขายังไม่ค่อยเข้าใจ แต่บอกได้ว่าพวกเราตื่นเต้นกันมาก การทำลายข้าวของเป็นสัญญาณบ่งบอกความสุขสำหรับคนในวัยเขา

·   สองสามี-ภรรยานักแต่งเพลง คริสเตน แอนเดอร์สัน-โลเปซ และ โรเบิร์ต โลเปซ อยู่กันคนละฟากฝั่งของประเทศตอนได้ข่าวว่าพวกเขาถูกเสนอชื่อเข้าชิงจากการแต่งเพลง Let It Go ในหนังการ์ตูนเรื่อง Frozen คริสเตนเพิ่งไปส่งลูกที่โรงเรียนและรีบซิ่งกลับบ้านเพื่อมาดูการถ่ายทอด ส่วนโรเบิร์ตกำลังสะลึมสะลืออยู่ในห้องพักของโรงแรม มันเป็นความรู้สึกที่คาดไม่ถึง มันวิเศษสุดและเหลือเชื่อมากๆโรเบิร์ตกล่าว ส่วนคริสเตนพูดถึงแผนการฉลองว่า เราเพิ่งรับแมวมาเลี้ยง ฉะนั้นฉันจะฉลองการเข้าชิงด้วยการพาพวกมันไปหาสัตวแพทย์

·   “ผมคลานลงจากเตียงตอนตีห้าสี่สิบสี่นาทีและนั่งลุ้นหน้าจอกับเพื่อนสนิทบรูซ เดิร์น เล่า ผมตื่นเต้นมาก ดีใจที่หนังของเราถูกเสนอชื่อเข้าชิงหกรางวัล มันสุดยอดจริงๆ ลอรา (เดิร์น) เป็นคนแรกที่โทรมาเธอพักอยู่กับพ่อของเธอที่โรงแรม โฟร์ ซีซัน และให้สัมภาษณ์ว่า ฉันภาวนาอยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับศิลปินทุกคน ใครบ้างจะไม่อยากผลิตผลงานชั้นยอดแม้จะมีอายุได้ 77 ปีแล้วพ่อของเธอเห็นด้วยพร้อมกับเสริมว่า มันเจ๋งดีว่ามั้ย ที่จูน (สควิบบ์) จูดี้ เดนช์ และผมต่างก็ได้เข้าชิงในปีเดียวกัน! เราสามคนอุทิศชีวิตให้กับการแสดงมาครึ่งศตวรรษ

·   ตอนแรก แจเร็ด เลโต คิดว่าตัวเองพลาดการเข้าชิงหลังตื่นขึ้นมาและคิดว่ามีการประกาศรายชื่อไปแล้วเพราะเห็นแสงสว่างจากนอกหน้าต่าง แต่ไม่มีใครปลุกเขาหรือโทรมาแสดงความยินดี แต่แล้ว เอ็มมา ลัดบรู้ก ซึ่งโปรดิวซ์หนังสารคดีเรื่อง Artifact ให้ผมก็มาเคาะประตูบ้านเลโตกล่าว มันเป็นความรู้สึกที่วิเศษสุดจริงๆ ทุกอย่างช่างเหมือนฝัน ผมภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในหนังทุนสร้าง 4 ล้านเหรียญเกี่ยวกับกลุ่มคนที่พยายามดิ้นรนเพื่อมีชีวิตรอดหลังทราบข่าวแล้วเขาวางแผนจะทำอะไรบ้างระหว่างวัน? “ผมจะกลับไปนอนต่อแล้วตื่นมาทำแพนเค้กมังสวิรัติ

·   เทอร์เรนซ์ วินเทอร์ มือเขียนบทจาก The Wolf of Wall Street เล่าว่า ผมนั่งดูการประกาศรายชื่อทางโทรทัศน์ในอพาร์ตเมนต์ของเราที่นิวยอร์ก ส่วนภรรยาผม (ราเชล วินเทอร์) นั่งดูอยู่ที่ลอสแองเจลิส พวกเราพูดคุยกันทางโทรศัพท์ เธอได้เข้าชิงจากการโปรดิวซ์หนังเรื่อง Dallas Buyers Club สัญญาณถ่ายทอดดีเลย์เล็กน้อย ผมเลยรู้ผลก่อนเธอประมาณสามวินาที มันน่าตื่นเต้นมากๆ ก่อนหน้านี้เราต่างก็เชียร์อีกฝ่ายให้ได้เข้าชิง แต่พอกันที! จากนี้ไปมันคือสงคราม!วินเทอร์กล่าว พูดกันตามตรง เราสองคนต่างไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้เข้าชิง เราดีใจและมีความสุขมากไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ มันไม่น่าเชื่อที่สองโครงการสร้างหนัง ซึ่งทีมงานต้องทุ่มเทและเสี่ยงดวงขนาดนี้โดยเฉพาะเหล่านักแสดง สามารถหลุดเข้าชิงได้ทั้งคู่ นั่นยิ่งทำให้เรารู้สึกยินดีเป็นพิเศษ และการที่เราต่างได้เข้าชิงพร้อมกันแบบนี้เรียกว่าเป็นโอกาสแค่หนึ่งในล้าน

ไม่มีความคิดเห็น: