เคท แบลนเช็ตต์ (Blue Jasmine)
แต่ก่อนเปิดกล้องนักแสดงสาวจากออสเตรเลียจำเป็นต้องเตรียมตัวให้พร้อม
โดยเริ่มจากการไปนั่งสำรวจผู้คนในแมนฮัตตัน (ขั้นตอนแบบเดียวกับที่เธอทำตอนร่วมแสดงในละครเวทีเรื่อง
Uncle Vanya) เพื่อดูวิถีชีวิตของพวกเขา ตามมาด้วยการนัดพบปะ
แซลลี ฮอว์กินส์ ซึ่งรับบทน้องสาวของเธอในเรื่อง เพื่อทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลทั้งสอง
(พวกเธอรักกัน แต่ก็มีปมขัดแย้งในอดีตส่งผลให้ต่างคนต่างแยกกันอยู่คนละฟากฝั่งประเทศ)
เสร็จแล้วก็ปิดท้ายด้วยการเข้าคอร์สฝึกพูดสำเนียงให้ถูกต้อง
และนั่งดูหนังสารคดีเกี่ยวกับอัลเลนของ Robert Weide เมื่อปี
2012 ซึ่งเธอยอมรับว่าข้อมูลบางอย่างก็แตกต่างจากประสบการณ์ส่วนตัวของเธอในกองถ่าย
“นักแสดงหลายคนบอกว่าคุณจะไม่ได้ความเห็นใดๆ จากเขา
แต่ฉันกลับคิดว่าเขาค่อนข้างตรงไปตรงมา” แบลนเช็ตต์กล่าว
“การที่เขาเคยแสดงตลกเดี่ยวไมโครโฟนมาก่อนทำให้เขาตระหนักในทันทีว่าอะไรเวิร์ค
อะไรไม่เวิร์ค และถ้าเขาไม่ชอบผลงานของคุณ เขาก็จะบอกคุณตรงๆ เลย
แต่ถ้ามันใช้ได้แล้ว เราก็จะแค่เปลี่ยนไปถ่ายฉากอื่นต่อ
เมื่อฉันตระหนักว่าเขาจะไม่มีวันแสดงท่าทางแฮปปี้อย่างที่สุด หรือกล่าวชมใครตรงๆ ฉันจึงเลิกที่จะพยายามเอาใจเขา
แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำงาน”
แบ็คกราวด์ในแวดวงละครเวทีของแบลนเช็ตต์สามารช่วยเหลือเธอได้มากในการเตรียมตัว
เพราะดูเหมือนทุกทิศทางการกำกับถูกเขียนระบุเอาไว้เกือบหมดแล้วในบทภาพยนตร์ อัลเลนเป็นผู้กำกับที่ทำงานรวดเร็ว
ไม่ค่อยสั่งเทคหลายครั้ง ไม่เคยสั่งให้มีการถ่ายซ่อม
และใช้เวลาเพียงเล็กน้อยในช่วงโพสต์โปรดักชั่น นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงสามารถสร้างหนังได้ปีละเรื่องเป็นอย่างน้อยติดต่อกันมานานกว่า
3 ทศวรรษ (ครั้งสุดท้ายที่หนังของเขาทิ้งช่วงห่างกัน 2 ปี คือ ระหว่าง Stardust
Memories ในปี 1980 กับ A Midsummer Night’s Sex Comedy ในปี 1982) “มันเหมือนกับเวลาละครเวทีเปิดม่าน
เทคเดียวผ่าน จากนั้นก็ไปถ่ายฉากต่อไป คุณจำเป็นต้องใช้สมาธิและความทุ่มเทสูงสุด”
นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์จาก The Aviator กล่าว
Blue
Jasmine เล่าถึงการล่มสลายของ จัสมิน
สาวสังคมไฮโซในแมนฮัตตันหลังจากสามีเธอถูกจับในข้อหาฉ้อโกง ทรัพย์สมบัติทั้งหมดถูกรัฐบาลยึด
เธอถังแตกจนต้องย้ายไปอยู่กับน้องสาวที่ซานฟรานซิสโก สร้อยคอไข่มุก เสื้อชาแนล
และกระเป๋าเบอร์กินของเธอดูเหมือนสิ่งแปลกปลอมในอพาร์ตเมนต์แคบๆ เช่นเดียวกับสภาพจิตอันไม่มั่นคงของจัสมิน
ส่วนหนึ่งเป็นผลจากยาระงับประสาทและเหล้ามาตินีที่เธอแทบจะซดแทนน้ำเปล่า
จัสมินเป็นตัวละครที่น่าหมั่นไส้ และความตกต่ำ พังทลายที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นผลจากการกระทำของเธอเอง
แต่การแสดงของแบลนเช็ตต์ได้มอบความเป็นมนุษย์ให้กับตัวละคร
จนคนดูอดไม่ได้ที่จะเห็นใจเธอเมื่อจัสมินเดินทางไปสู่หายนะอันไม่อาจหลีกเลี่ยง
ฉากสุดท้ายของหนัง คือ บทพิสูจน์ให้เห็นพลังการแสดงของแบลนเช็ตต์อย่างแท้จริง ซึ่งกระทั่งฮอว์กินส์เองก็ยังอดไม่ได้ที่จะน้ำตาคลอเบ้าเมื่อนึกถึงมัน
“ฉากนั้นน่าสะพรึงและชวนให้หัวใจสลายในเวลาเดียวกัน
เมื่อกล้องโคลสอัพเข้าไปที่ใบหน้าเธอ ฉันมองไม่เห็นเคท ฉันเห็นเพียงจัสมิน”
สำหรับแบลนเช็ตต์คำถามที่ว่าสุดท้ายแล้วจัสมินเป็นคนดีหรือไม่หาใช่สิ่งที่เธอใส่ใจ
เธอบอกว่าเธอกับอัลเลนมีทัศนคติที่แตกต่างกันเกี่ยวกับตัวละครนี้
เขาคิดว่าจัสมินเป็นคนบ้าสมบูรณ์แบบ
แต่แบลนเช็ตต์คิดว่าทุกอย่างไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น “เวลาคุณสิ้นหวัง
หมดสภาพ คุณก็จะทำลายทุกอย่างและทำร้ายทุกคนรอบข้าง” เธอกล่าว
“ฉันพยายามจะไม่ตัดสินตัวละครที่ฉันรับบท สุดท้ายแล้ว จัสมินก็เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง
เช่นเดียวกับคนอื่นๆ อีกมาก ที่ต้องการใครสักคนมาช่วยชีวิตเธอให้พ้นทุกข์”
แซนดร้า บูลล็อค (Gravity)
สามปีต่อมา
บูลล็อคได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์อย่างถ้วนหน้ากับผลงานการแสดงที่หลายคนเชื่อว่าดีที่สุดในอาชีพนักแสดงของเธอจากหนังเรื่อง
Gravity
ซึ่งเล่าถึงวิบากกรรมของนักบินอวกาศหญิง หลังจากซากสะเก็ดดาวเทียมพุ่งเข้าทำลายสถานีอวกาศจนพังยับเยิน
มันเป็นบทที่ท้าทายความสามารถและความอดทนอย่างใหญ่หลวง
เพราะเธอจะต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในกล่องแคบๆ ขนาด 9 x 9 ฟุตและห้อยตัวอยู่บนสายเคเบิลเพียงลำพัง
ขณะสิ่งของต่างๆ พุ่งตรงเข้ามา เธอบอกว่ามันเป็นประสบการณ์การถ่ายหนังที่ค่อนข้างโดดเดี่ยว
แปลกแยก (ไม่ต่างจากสภาพจิตใจของตัวละครที่เธอรับเล่น)
และประสบการณ์จากคลาสการเต้นในอดีตก็กลายมาเป็นทักษะที่ช่วยเหลือเธอได้มากในฉากที่
ไรอัน สโตน ต้องหมุนคว้างกลางอวกาศในชุดนักบินที่หนักอึ้ง หรือฉากที่เธอต้องล่องลอยโดยสวมใส่แค่กางเกงขาสั้นกับเสื้อกล้ามผ่านช่องทางเดินในยานอวกาศอย่างลื่นไหลในสภาพไร้แรงโน้มถ่วง
จอร์จ
คลูนีย์ ซึ่งร่วมแสดงในบทนักบินอวกาศที่มากประสบการณ์กว่า เล่าว่าการเคลื่อนไหวให้เชื่องช้าเพื่อสร้างความรู้สึกของสภาพไร้แรงโน้มถ่วง
แต่ขณะเดียวกันก็ต้องพูดแบบคนปกติทั่วไปไม่ใช่เรื่องง่าย แต่แซนดร้า
ซึ่งเริ่มต้นถ่ายทำไปก่อนเขา กลับรับมือความซับซ้อนดังกล่าวได้อย่างเชี่ยวชาญ “สิ่งที่เธอทำมันน่าอัศจรรย์ใจจริงๆ”
เขากล่าว อย่างไรก็ตาม การแสดงของเธอไม่ได้น่าตื่นตาในแง่ความยืดหยุ่นทางร่างกายเท่านั้น
แต่ตัวละครอย่าง ไรอัน สโตน ยังมีปมอันหนักหน่วงจากการสูญเสียลูก ซึ่งถูกถ่ายทอดให้คนดูสัมผัสได้อย่างแนบเนียน
อีกด้วย “นอกจากจะแสดงให้เห็นความแข็งแกร่งของตัวละครอย่างเด่นชัดแล้ว”
เดวิด เฮย์แมน โปรดิวเซอร์หนังเรื่องนี้กล่าว “เธอยังสะท้อนความอ่อนโยนและเปราะบางออกมาพร้อมๆ กันด้วย
นั่นเป็นส่วนผสมที่หาไม่ได้ง่ายนัก”
เช่นเดียวกัน
แซนดร้า บูลล็อค เป็นส่วนผสมที่ลงตัวและพบเห็นได้ยากในฮอลลีวู้ด นั่นส่งผลให้เธอรักษาสถานะซูเปอร์สตาร์และขวัญใจนักดูหนังมาตลอด
2 ทศวรรษนับแต่สร้างชื่อเสียงเป็นครั้งแรกจากหนังเรื่อง Speed ที่สำคัญ
ความดังของเธอดูท่าจะยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีหลังจาก Gravity ทำเงินมหาศาลอย่างไม่คาดคิด
ขณะที่หนังอีกเรื่องของเธอที่เข้าฉายในปีเดียวกันอย่าง The Heat ก็กวาดรายได้น่าพอใจเช่นกัน เธอเป็นหนึ่งในนักแสดงหญิงเพียงไม่กี่คนที่สามารถ
“เปิดตัว” หนังบนตาราง บ็อกซ์ ออฟฟิศ
ได้ และติด 1 ใน 10 นักแสดงหญิงที่ได้รับค่าเหนื่อยสูงสุด ขณะเดียวกัน ถึงแม้จะประสบความสำเร็จกับบทดรามา
ซึ่งทำให้เธอเข้าชิงออสการ์ทั้งสองครั้ง แต่บูลล็อคก็ไม่เคยคิดจะเลิกเล่นหนังตลก ซึ่งสร้างฐานแฟนคลับให้กับเธอตั้งแต่แรก
แม้ว่าในตอนนี้สิ่งที่เธอให้ความสูงสุดจะได้แก่ หน้าที่ของความเป็นแม่ “ฉันไม่อยากให้เขารู้สึกเหมือนถูกกดดันจากสิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่
ฉันจะเลิกอาชีพนักแสดงเมื่อใดก็ตามที่ฉันรู้สึกว่ามันส่งผลกระทบแง่ลบกับเขา
ฉันจะเก็บของแล้วย้ายไปอยู่อลาสก้าทันที”
จูดี้ เดนช์ (Philomena)
“ฉันได้พูดคุยกับตัวจริงของฟีโลมีนาหลายครั้งและพบว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ฉลาดเป็นกรด
มีอารมณ์ขัน ทั้งยังไม่นึกขมขื่นต่อเหตุการณ์ที่ผ่านมาแต่อย่างใด
ลำพังแค่การพรากแม่พรากลูกจากกันก็ถือว่าแย่พอแล้ว แต่การถูกปฏิเสธไม่ยอมให้ทั้งสองได้เจอหน้ากันถือเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสอย่างไม่น่าเชื่อ
ถ้าลูกชายหรือลูกสาวฉันถูกแม่ชีพรากไปลักษณะเดียวกันละก็
ฉันคงนึกเคียดแค้นไปนานแสนนาน ฉันคงไม่มีวันยกโทษให้พวกเขาอย่างแน่นอน”
นักแสดงหญิงวัย 79 ปี ที่สร้างชื่อเสียงเป็นที่รู้จักจากการรับบทเป็นราชินีผ่านผลงานภาพยนตร์เรื่อง
Mrs. Brown (ควีนวิกตอเรีย) และ Shakespeare
in Love (ควีนอลิซาเบ็ธ) กล่าว
หนังสือเรื่อง
The
Lost Child of Philomena Lee เขียนโดยซิกซ์สมิธ
และถูกนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์เรื่องนี้ เปิดเผยให้เห็นว่าถึงแม้จะต้องทนรับความอยุติธรรมมากมายจากโบสถ์คาทอลิก
แต่ฟีโลมีนายังคงเปี่ยมศรัทธาต่อศาสนา เธอเชื่อว่าส่วนหนึ่งของโศกนาฏกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นจากความผิดของเธอเอง
“ที่จริงแล้ว ฟีโลมีนายังคงมองชีวิตในแง่บวก
ภายนอกเธออาจดูเหมือนเปราะบาง อ่อนแอ
แต่การได้อ่านเรื่องราวของเธอทำให้คุณตระหนักว่าแท้จริงแล้วเธอเป็นคนที่จิตใจแข็งแกร่งมากๆ
และศรัทธาของเธอก็หนักแน่นจนยากจะพังทลาย” เดนช์กล่าว ด้วยเหตุนี้เอง
หนังภายใต้การกำกับของ สตีเฟน เฟรียร์ส (The Queen) จึงผสมผสานอารมณ์ขันกับความเป็นเมโลดรามาเอาไว้อย่างลงตัว
โดยคูแกนกับเดนช์สามารถเรียกเสียงหัวเราะดังๆ จากคนดูได้หลายฉาก แต่ขณะเดียวกันกลับมีเพียงซิกซ์สมิธเท่านั้นที่แสดงความโกรธขึ้งในวิธีรับมือของโบสถ์ต่อความผิดพลาดทั้งหลาย
เดนช์
ซึ่งมีเชื้อสายไอริช ยกประโยชน์ให้กับครอบครัวของเธอที่ช่วยทำให้เธอเข้าถึงบุคลิกและสำเนียงการพูดของตัวละครได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
เธอสามารถจินตนาการภาพแม่ของเธอ ผู้ย้ายรกรากมาจากดับลิน พูดบทพูดของฟีโลมินาในหลายๆ
ฉากได้ชัดเจน “ถ้าตัวละครเป็นเดนิช หรือดัทช์ หรือเยอรมัน หรือฝรั่งเศส หรือรัสเซีย
ฉันคงต้องใช้เวลานานในการเตรียมตัวก่อนมารับบท แต่ฉันเข้าใจจิตวิญญาณในความเป็นไอริช
เข้าใจถึงธรรมชาติของคนไอริชอยู่แล้ว
เพราะมันแทบจะไม่แตกต่างจากแม่ของฉันสักเท่าไหร่”
ปัจจุบันนักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์จาก
Shakespeare
in Love อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกับลูกสาววัย 41 ปีและหลานชายวัย
16 ปี ส่วน ไมเคิล วิลเลียม สามีนักแสดงของเดนช์นั้นได้เสียชีวิตไปแล้วเมื่อปี
2001 ขณะอายุ 65 ปี พวกเขาใช้ชีวิตคู่ร่วมกันนาน 30 ปี และเคยเล่นละครโทรทัศน์ร่วมกันเรื่อง
A Fine Romance “การได้มีโอกาสบอกเล่าเรื่องราวของฟีโลมีนาช่วยย้ำเตือนฉันอีกครั้งว่าความสุขของชีวิตครอบครัวนั้นมีค่าเกินกว่าจะคำนวณเป็นตัวเลขได้”
เมอรีล สตรีพ (August: Osage County)
แฟนหนังของ
เมอรีล สตรีพ อาจจะช็อกและนึกแขยงบทบาทการแสดงชิ้นล่าสุดของเธอ ซึ่งเมื่อเทียบระดับความร้ายกาจแล้วสามารถทำให้
“นางมารสวมปราดา” กลายเป็น แมรี ป็อปปิน ไปเลยทีเดียว
ใน August: Osage County ดัดแปลงจากบทละครรางวัลพูลิทเซอร์ของ
เทรซี เล็ตส์ โดยมี จอห์น เวลส์ นั่งเก้าอี้ผู้กำกับ สตรีพรับบทเป็น ไวโอเล็ท
เวสตัน คุณแม่จากนรกที่สูบบุหรี่จัด ดื่มเหล้าหนักพอๆ กับการแจกจ่ายคำด่าทอ
เยาะหยันใส่บรรดาสมาชิกครอบครัวแทบทุกคนรอบข้าง
ซึ่งเดินทางกลับมารวมตัวกันเพื่อร่วมงานศพที่บ้านชนบทในรัฐโอคลาโฮมา และที่สำคัญ
เธอกำลังจะตายจากไปอย่างช้าๆ ด้วยโรคมะเร็ง... อาจช้าเกินไปด้วยซ้ำสำหรับบางคน (ในโปสเตอร์หนังเธอเป็นคนที่นอนคว่ำอยู่บนพื้น และกำลังจะโดนตบโดยลูกสาวคนหนึ่งของเธอ
รับบทโดย จูเลีย โรเบิร์ตส์)
แรกทีเดียวนักแสดงหญิงเจ้าของ
3 รางวัลออสการ์ผู้ถือครองสถิติถูกเสนอชื่อเข้าชิงมากที่สุดถึง 18 ครั้ง
กล่าวว่าเธอไม่แน่ใจนักในตอบรับเล่นหนังเรื่องนี้ เพราะมันแสดงให้เห็นภาพอันไม่น่าพิสมัยเกี่ยวกับคนเป็นพ่อเป็นแม่ในวัยชรา
ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับลูกๆ “ฉันจะต้องใช้ชีวิตจมดิ่งอยู่ในสภาพจิตใจของตัวละครตัวนี้เป็นเวลาหลายเดือน
ฉันนึกถามตัวเองว่ามันเป็นสถานที่ที่ฉันอยากจะไปเยี่ยมเยียนจริงๆ เหรอ”
สตรีพกล่าวถึงความห่วงใยในช่วงแรกที่ได้รับข้อเสนอให้รับบทไวโอเล็ท ตัวละครที่กำลังถูกมะเร็งกัดกินทั้งด้านร่างกายและจิตวิญญาณ
“ในฐานะนักแสดงคุณควรจะต้องอยากทรมานตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่ความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องน่าสนุก” สตรีพกล่าวถึงความเน่าเฟะระหว่างความสัมพันธ์ของไวโอเล็ทกับลูกสาวสามคน
ความเจ็บปวดและโกรธขึ้งที่ซุกซ่อนอยู่ข้างใน รอวันที่จะระเบิดออกมาหลังจากสามีไวโอเล็ท
(แซม เชพเพิร์ด) ตัดสินใจฆ่าตัวตายเพราะทนใช้ชีวิตอยู่กับความบ้าคลั่งไม่ไหว
“ฉันลังเลที่จะรับบทไวโอเล็ทในตอนแรกก็เพราะสาเหตุนี้
เพราะฉันคิดว่าไวโอเล็ทเป็นตัวละครที่เต็มไปด้วยความโกรธ ความเกลียดชัง
และความเจ็บปวด” ขณะเดียวกันอีกหนึ่งความท้าทายของบทนี้
คือ การไล่เรียงระดับสภาพจิตใจของไวโอเล็ท
ซึ่งผันผวนไปตามระดับยาแก้ปวดที่เธอซัดเข้าไปจำนวนมากในแต่ละวัน “เนื่องจากเราไม่ได้ถ่ายเรียงตามลำดับเวลา
ฉันจึงต้องวาดแผนผังตัวละครเพื่อจะได้รู้ว่าในแต่ละฉาก
ไวโอเล็ทอยู่ในสภาพจิตใจแบบไหน เธอกินยาแก้ปวดหรือไม่
เพื่อฉันจะได้คำนวณระดับความสนใจหรือไม่สนใจของตัวละคร แล้วส่งทอดอารมณ์ไปยังเหล่าเพื่อนนักแสดงได้ถูก”
ฉากแรกของหนังช่วยอธิบายความหนักใจของสตรีพในการเล่นบทนี้ได้เป็นอย่างดี
มันเป็นตอนที่ไวโอเล็ทขัดจังหวะบทสนทนาระหว่างสามีเธอกับผู้หญิงที่เขาจ้างให้มาดูแลเธอ
“การได้เห็นใบหน้าของเขาในระยะใกล้ เห็นความเกลียดชังที่ปรากฏชัดเจนในแววตา
เป็นประสบการณ์ที่ไม่น่ารื่นรมย์นัก” สตรีพกล่าว “เมื่อคุณแก่และสภาพร่างกายทรุดโทรม คุณอาจคิดว่าบางทีประกายความรักยังหลงเหลืออยู่ในตัวสามีที่ผ่านทุกข์ผ่านสุขมาด้วยกันหลายปี
แต่การได้เห็นดวงตาเขาและตระหนักว่าเขายินดีจะตายมากกว่ามองหน้าฉัน...
นั่นเป็นความรู้สึกที่โหดร้ายมาก”
นอกเหนือจะพรสวรรค์แล้ว
ความยินดีของสตรีพที่จะทรมานตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า และตัดสินใจรับบทโหดๆ อย่าง
ไวโอเล็ท เวสตัน
เป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นว่าทำไมเธอถึงสามารถรักษาระดับมาตรฐานทางการแสดงอันสูงลิ่วไว้ได้
และเป็นที่ยอมรับมาตลอดช่วงเวลา 35 ปีในวงการบันเทิง ผ่านผลงานแสดงอันน่าจดจำอย่าง
Sophie’s
Choice, Silkwood, The Bridges of Madison County, The Devil Wears Prada และ Ironweed รวมถึงเป็นหัวเรือหลักในหนังมหาฮิตอย่าง
Mamma Mia! ถือว่าไม่เลวทีเดียวสำหรับนักแสดงวัย 64 ปี
เมื่อมองจากข้อเท็จจริงที่ว่าฮอลลีวู้ดหลงใหลเด็กสาวแรกรุ่นและนิยมเขี่ยนักแสดงหญิงที่อายุขึ้นเลขสี่ทิ้งเหมือนขยะไร้ค่ามากแค่ไหน
“เธอไม่เคยเลือกเล่นหนังเพราะเห็นว่ามันมีโอกาสจะกลายเป็นหนังฮิต
หรือเล่นหนังตลาดฟอร์มยักษ์เพื่อจะได้เรียกค่าตัวสูงๆ
แต่เธอเลือกเพราะรู้สึกสนใจในตัวบทอย่างแท้จริง” ลอเรนซ์
มาร์ค โปรดิวเซอร์หนังเรื่อง Julie & Julia อธิบายถึงเหตุผลเบื้องหลังความสำเร็จอันยาวนานของสตรีพในวงการบันเทิง...
และคำว่าเกษียณคงยังไม่มาถึงในเร็ววันนี้ เพราะสตรีพมีหนังเตรียมเข้าฉายแล้ว 2
เรื่อง ได้แก่ Into the Woods และ The Homesman ขณะเดียวกันก็กำลังจะเริ่มต้นถ่ายทำหนังใหม่
ซึ่งดัดแปลงมาจากวรรณกรรมเยาวชนที่ค่อนข้างอื้อฉาวเมื่อ 10 ปีก่อนเรื่อง The
Giver
เอมี อดัมส์ (American Hustle)
ใครก็ตามที่ติดตามผลงานของอดัมส์มาตลอดย่อมรู้ว่าเธอกำลังหมายถึงบทอย่างเจ้าหญิงไร้เดียงสาในหนังเพลงเรื่อง
Enchanted
หรือภรรยาช่างเจรจาและมองโลกแง่บวกใน Junebug ซึ่งทำให้เธอถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์เป็นครั้งแรก
แต่ตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา อดัมส์พยายามจะพัฒนาทักษะทางการแสดง
พร้อมกับท้าทายตัวเองด้วยการรับบทเป็นตัวละครที่เธอไม่คุ้นชิน โดยผสมผสานหนังตลกเบาสมองชนิดที่สามารถหลับตาเล่นได้สบายๆ
(The Muppets, Night at the Museum: Battle of the Smithsonian, Leap Year)
เข้ากับผลงานดรามาหนักหน่วง เข้มข้น อย่าง The Fighter (บาร์เทนเดอร์ใจเด็ดที่ลุกขึ้นต่อสู้กับครอบครัวหิวเงินของแฟนหนุ่มนักมวย)
และ The Master (ภรรยาจอมบงการของผู้นำลัทธิ)
พูดได้ว่าบทของเธอใน American Hustle เต็มไปด้วยด้านมืดหม่น
แต่ในเวลาเดียวกันเธอก็สร้างสมดุลด้วยการหันกลับไปรับบทเป็น โลอิส เลน อีกครั้งใน Batman
vs. Superman
มีนักแสดงเพียงไม่กี่คนหรอกในฮอลลีวู้ดที่จะได้รับโอกาสให้แสดงบทที่หลากหลายขนาดนี้
และถ้าเธอไม่มีความทะเยอทะยานในอาชีพการงาน หรือหวาดกลัวความเปลี่ยนแปลง เธอก็อาจต้องลงเอยด้วยเล่นหนังตลก-โรแมนติกไปตลอดชีวิต
แต่ความยินดีที่จะเสี่ยงทดลองสิ่งแปลกใหม่ และความไว้วางใจจากบรรดาผู้กำกับชั้นนำหลายคน
ทำให้เธอเขยิบขึ้นมายืนอยู่แถวหน้าในฐานะนักแสดงคุณภาพ ซึ่งสามารถเข้าฉากคู่กับตุ๊กตามัพเพ็ดได้อย่างลื่นไหลไม่แพ้การประชันบทบาทกับ
คลินท์ อีสต์วู้ด เธออาจไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์ที่หมู่มวลมหาชนจำหน้าได้
แต่บนเวทีออสการ์ เธอคือหนึ่งในขาประจำที่ทุกคนชื่นชมและแอบเชียร์ให้คว้ารางวัลมาครองสักทีหลังจากได้เข้าชิงมาแล้ว
5 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดถือเป็นครั้งแรกที่เธอได้เข้าชิงในสาขานักแสดงนำหญิง
ใน
American
Hustle อดัมส์ได้แสดงในสิ่งที่หลายคนคาดไม่ถึง ตั้งแต่แง่มุมเซ็กซี่
(ในฉากหนึ่งเธอต้องยั่วยวนให้ แบรดลีย์ คูเปอร์
อ้อนวอนขอมีอะไรด้วยในห้องน้ำ) ไปจนถึงแง่มุมสิ้นหวัง ไร้ทางออก
เมื่อซิดนีย์ถูกจับไปขังเดี่ยวในห้องสอบสวนพร้อมกับความคิดวนเวียนว่าคู่รักของเธออาจทรยศหักหลังเธอ
“ผมต้องการจะท้าทายเธอ” ผู้กำกับ
เดวิด โอ. รัสเซลล์ กล่าว “ผมอยากให้เธอได้เล่นบทที่โดดเด่นและแข็งแกร่งไม่แพ้บทของผู้ชาย
แต่มีความเจ้าเล่ห์มากกว่า” ถึงแม้โทนบางส่วนของหนังจะมืดหม่น
แต่ชีวิตในกองถ่ายกลับเต็มไปด้วยความสนุกสนานสำหรับ เอมี อดัมส์
เธอได้เต้นดิสโก้กับคูเปอร์ และตีซี้นักแสดงหญิงคนอื่นๆ อย่าง เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์
และ อลิซาเบ็ธ โรม นอกจากนี้ เธอยังได้คลุกคลีกับ คริสเตียน เบล มากขึ้น หลังจากเคยร่วมงานกันมาก่อนใน
The Fighter เธอยกย่องว่าการได้ร่วมเข้าฉากกับเบลเปรียบเสมือนการได้เรียนรู้ทักษะจากปรามาจารย์
ขณะเดียวกันเธอก็ประทับใจการแปลงโฉมครั้งล่าสุดของเขาไม่น้อย “ในตอนเช้าเขาจะกินแซนด์วิชเบคอนแบบไม่ยั้ง
ขณะที่ฉันจะเลือกกินแค่ไข่ขาวเพื่อให้สามารถใส่เสื้อผ้าทั้งหลายในหนังได้”
อดัมส์กล่าว “ทุกครั้งที่ฉันเห็นเขากินฉันมักจะนึกในใจว่า
คุณพระช่วย!”
หลังจากได้เห็นทักษะการเต้นและร้องเพลงของอดัมส์ในระหว่างถ่ายทำ
American
Hustle รัสเซลล์บอกว่าเขาอยากร่วมงานกับเธออีกครั้ง โดยคราวนี้เขาจะนำทักษะเหล่านั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์
เพราะเขาเชื่อแน่ว่าเธอจะต้องทุ่มเทอย่างสุดฝีมือเช่นเคย พร้อมทั้งสรุปว่า “แรงกระหายที่จะพัฒนาตัวเองอยู่เสมอของเธอคือเหตุผลที่เธอไม่เคยหยุดนิ่ง
มันเป็นแรงกระหายแบบเดียวกับบรรดานักกีฬาทั้งหลาย เธอไม่เคยเกรงกลัวความท้าทาย”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น