ชิวเอเทล เอจีโอฟอร์ (12 Years a Slave)
หนึ่งปีก่อนที่นักแสดงชาวอังกฤษเชื้อสายไนจีเรีย
ชิวเอเทล เอจีโอฟอร์ จะเริ่มต้นถ่ายทำหนังเรื่อง 12 Years a Slave เขาได้มีโอกาสเดินทางไปยังเมืองซาวันนาห์ รัฐจอร์เจีย
เพื่อถ่ายหนังอีกเรื่องหนึ่ง โดยระหว่างวันว่างเขาก็ไปลงชื่อทัวร์รอบเมืองซึ่งจุดหมายหนึ่งได้แก่
คอกทาสในช่วงศตวรรษที่ 19 ใช้สำหรับกักขังทาสแอฟริกันก่อนถูกส่งตัวไปประมูล “ผมเห็นกลอนติดอยู่สูงท่วมหัวบนกำแพงจึงถามไกด์ว่ามันมีเอาไว้เพื่ออะไร เขาตอบว่าใช้สำหรับล่ามโซ่ชาวอิกโบ
(ไนจีเรีย) ผมเลยพูดขึ้นว่า ‘ผมก็เป็นชาวอิกโบ’ ไกด์นิ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะสาธยายประวัติศาสตร์ต่อไป
นั่นเป็นจังหวะที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนว่าได้ย้อนอดีตกลับไปยังช่วงเวลานั้น
รู้สึกได้ถึงกลิ่นเลือดและดีเอ็นเอของคนเชื้อสายเดียวกัน มันทรงพลังมากๆ”
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้
12 Years
a Slave กลายเป็นขวัญใจนักวิจารณ์ในช่วงเทศกาลแจกรางวัล คือ การแสดงอันทรงพลังของเอจีโอฟอร์ในบท
โซโลมอน นอร์ธับ นักไวโอลินจากนิวยอร์กที่โดนวางยาและลักพาตัวเพื่อนำไปขายเป็นทาสในรัฐลุยเซียนา
ผู้กำกับ สตีฟ แม็คควีน ซึ่งคุ้นเคยกับผลงานที่ผ่านมาของเอจีโอฟอร์อยู่บ้าง เช่น Dirty
Pretty Things ตัดสินใจเลือกเขามารับบทนอร์ธับทันทีที่มีโอกาสได้เจอตัวเป็นๆ
“ชิวเอเทลเป็นผู้ชายมารยาทดีและดูสง่า
ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมต้องการให้คนดูรู้สึกจากตัวละครนี้” แม็คควีนกล่าว
“ผมอยากให้คนดูตระหนักถึงเกียรติและความเป็นมนุษย์ของนอร์ธับ
และชิวเอเทลก็มีออราบางอย่างซึ่งติดตัวเขามาแต่กำเนิด
บางอย่างภายในที่สามารถถ่ายทอดออกมาบนจอได้อย่างชัดเจน นั่นคือความรู้สึกผมตอนเจอเขาเป็นครั้งแรก”
แรกทีเดียวเอจีโอฟอร์ไม่ได้ตอบตกลงในทันที
เขาลังเลเพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองจะแบกรับประเด็นยิ่งใหญ่ของหนังไว้บนบ่าไหวหรือไม่
ประเด็นที่เขาเองก็ไม่ได้มีความรู้มากนัก แต่หลังจากเอาชนะความกลัวได้แล้ว
เอจีโอฟอร์ก็ก้มหน้าค้นหาข้อมูล เริ่มต้นด้วยการเดินทางจากคาลาบาร์
เมืองท่าในประเทศไนจีเรียซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าทาสในสมัยนั้น ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปยังชนบทในรัฐลุยเซียนา
จุดเด่นในการแสดงของเอจีโอฟอร์อยู่ตรงที่เขาเรียกร้องความเห็นใจจากคนดูได้อย่างอยู่หมัดโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยบทพูดใดๆ
หลายฉากที่นอร์ธับต้องเผชิญหน้ากับเหล่าคนขาวจอมซาดิสต์ เขาถ่ายทอดอารมณ์ผ่านทางดวงตาและภาษาท่าทาง
“นับแต่วันแรกของการถ่ายทำผมจะเน้นโฟกัสไปยังดวงตาของชิวเอเทล” แม็คควีนกล่าว “คนดูสามารถเข้าใจความคิดและการกระทำของตัวละครได้จากสีหน้าเขา
เขาเป็นนักแสดงที่เชื่อในเรื่องการเล่นน้อยแต่ได้มาก ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ในหนัง
เพราะทุกอย่างล้วนเกี่ยวกับการควบคุมตัวเอง การเก็บอารมณ์ ความรู้สึกเอาไว้ข้างใน
บางครั้งเขาทำให้คนดูไม่อาจละสายตาได้ด้วยการไม่ทำอะไรเลย”
ถึงแม้จะเริ่มต้นอาชีพนักแสดงตั้งแต่อายุ
20 ปีจากการรับบทเล็กๆ ในหนังเรื่อง Amistad ของ สตีเวน สปีลเบิร์ก ตามมาด้วยบทเล็กๆ
ในหนังดังอย่าง Children of Men และ Serenity แต่เอจีโอฟอร์กลับเชื่อว่าชะตากรรมลิขิตมาให้เขาเล่นละครเวที
เขามีโอกาสแสดงละครของเชคสเปียร์และเชคอฟมากมายหลายเรื่อง
ชื่นชอบขั้นตอนการซ้อมที่หนักหน่วง รวมไปถึงบรรยายกาศความใกล้ชิดระหว่างนักแสดงกับคนดู
และการถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ก็ไม่ได้เปลี่ยนความตั้งใจของเขาที่จะจัดหาเวลาในการเล่นหนังไปพร้อมๆ
กับแสดงละครเวที
คริสเตียน เบล (American Hustle)
บางครั้งเวลาดัดแปลงประวัติศาสตร์เป็นภาพยนตร์
การเสกสรรปั้นแต่งรายละเอียดบางอย่างก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ตัวอย่างเช่น
เออร์วิง โรเซนเฟลด์ นักต้มตุ๋นจากย่านบรองซ์ผู้หลงใหลเสื้อสูทสีม่วงและวิกผมเห่ยๆ
ใน American
Hustle รับบทโดย คริสเตียน เบล เป็นตัวละครที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก
เมลวิน ไวน์เบิร์ก แม้ว่าตัวจริงของเมลวินจะไม่ได้เหมือนกับตัวละครในหนังสักเท่าไหร่
“เมลต้องฆ่าผมแน่ถ้าผมบอกว่าเออร์วิงคือเขา” นักแสดงวัย 39 ปีกล่าวพร้อมรอยยิ้มกริ่ม “เขาจะบอกว่าเขาเป็นคนบ้าๆ
ร่าเริง และสนุกสนาน ผมได้พูดคุยกับผู้คนที่รู้จักเขา พวกเขาบอกว่าเมลเป็นคนน่ารัก
ผมรู้ว่าถ้าเมลได้ยินแบบนั้นเขาคงอยากจะอ้วก... เพื่อให้ตัวละครมีชีวิตชีวา
คุณจำเป็นต้องไปให้ไกลกว่าการเลียนแบบ คุณต้องได้รับอนุญาตให้แต่งเติมสิ่งต่างๆ
เข้าไปเพื่อให้คนดูสามารถเชื่อมโยงกับตัวละครได้”
หกเดือนหลังจากปิดกล้อง
เบลยังไม่อาจสลัดทิ้งโรเซนเฟลด์ได้อย่างถาวร เพราะเขาต้องใช้เวลาตลอดช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนในห้องอัดเสียงกับผู้กำกับ
เดวิด โอ. รัสเซล เพื่อบันทึกเสียงบทสนทนาซ้ำ แก้ไขให้สำเนียงของเขาฟังดูน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันน้ำหนักเกือบ 20 กิโลกรัมที่เขาต้องเพิ่มขึ้นมาเพื่อรับบทนี้ก็ยังปรากฏร่องรอยให้เห็นบริเวณรอบเอว
“ผมเพิ่มน้ำหนักจนดูเหมือนซานตาคลอส” เบลกล่าว “พุงของผมยื่นออกมาข้างหน้าจนกระทั่งตอนนี้ผมก็ยังไม่สามารถใส่กางเกงยีนได้”
พุงซานตาคลอสเป็นสิ่งแรกที่คนดูสังเกตเห็นในฉากเปิดเรื่องของ
American
Hustle เมื่อเออร์วิงกำลังยืนแต่งตัวอยู่หน้ากระจก
พลางจัดทรงวิกผมปลอมๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วน ความไม่เนียนของวิกผมบนหัวเขา
ซึ่งตรงกันข้ามอย่างยิ่งกับความนิ่งของเขาเวลาหลอกเงินคน เป็นสิ่งที่เบลมองว่ามีความสำคัญกับบท
“เขาเป็นเซียนโกงที่เชี่ยวชาญ
แต่ไม่สามารถตุ๋นใครให้เชื่อได้ว่าไอ้สิ่งที่เขาเอามาแปะอยู่บนหัวนั่นเป็นผมจริงๆ”
เบลกล่าว “ราวกับว่าเขาทุ่มทุกอย่างไปกับการตุ๋นคน
จนไม่เหลือพลังที่จะหลอกใครได้อีก มันน่าสนใจกว่าการเล่นเป็นเออร์วิงที่เนียนขั้นเทพ”
การทุ่มเทเพื่อแปลงโฉมเป็นตัวละครหาใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับเบล
เพราะนับแต่คว้ารางวัลออสการ์มาครองจากบทอดีตนักมวยติดยา (เขาลดน้ำหนักจนแทบจะเหลือแค่หนังหุ้มกระดูก)
ใน The Fighter เบลก็สร้างชื่อเสียงกระฉ่อนในฐานะนักแสดงคุณภาพและจริงจังในหน้าที่การงาน
ข้อพิสูจน์ที่เห็นได้ชัดเจน คือ ภาพลักษณ์อีกด้านที่ตรงกันข้ามในหนังเรื่อง Out
of the Furnace ซึ่งเข้าฉายในเวลาไล่เลี่ยกัน
โดยคราวนี้เขารับบทเป็นคนงานในโรงงานถลุงเหล็กที่ต้องเผชิญหน้ากับโศกนาฏกรรม รัสเซล
เบซ เป็นตัวละครที่มีบุคลิกแตกต่างจากเออร์วิงราวฟ้ากับเหว สิ่งเดียวที่เหมือนกัน
คือ ความทุ่มเทที่จะปกป้องบุคคลที่เขารัก
แต่เบลกลับทำให้ตัวละครทั้งสองดูน่าเชื่อถือได้อย่างมหัศจรรย์
แม้จะกวาดคำชมและได้รางวัลมาครองมากมาย
แต่เบลค่อนข้างระแวดระวังกับเรื่องพวกนี้ เขารู้สึกซาบซึ้งที่หลายคนชื่นชอบผลงาน
แต่ขณะเดียวกันรางวัลและคำชมหาใช่แรงบันดาลใจในการผลิตผลงานของเขา “ผมก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง
คงเป็นการโกหกถ้าจะพูดว่ามันไม่สำคัญสำหรับผมเลย” นักแสดงผู้รับเป็นโมเสสในหนังมหากาพย์ฟอร์มยักษ์ของ
ริดลีย์ สก็อตต์ เรื่อง Exodus กล่าว “บางทีสำคัญอาจเป็นคำที่ไม่ตรงนัก แต่แน่นอนว่าคุณย่อมรู้สึกภาคภูมิใจ เวลามีคนบอกว่าพวกเขาชื่นชอบสิ่งที่คุณทำและอยากจะให้อะไรบางอย่างกับคุณเพื่อแสดงให้เห็นว่าเราชอบมันแค่ไหน
แต่กระนั้นถึงแม้หนังจะไม่ได้รางวัลใดๆ เลยก็ไม่ได้หมายความว่ามันไร้ค่าเช่นกัน”
แม็ทธิว แม็คคอนาเฮย์ (Dallas Buyers Club)
หนึ่งในเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวงการภาพยนตร์ปีนี้
คือ การ “เกิดใหม่” ของ แม็ทธิว แม็คคอนาเฮย์
จากดาราหนุ่มหล่อที่ชอบถอดเสื้อโชว์กล้ามในหนังตลาดที่ไม่น่าจดจำอย่าง Fool’s
Gold, Failure to Launch, The Wedding Planner และ How to
Lose a Guy in 10 Days กลายมาเป็นนักแสดงคุณภาพเข้มข้นตลอดช่วงสองสามปีที่ผ่านมาในหนังอย่าง
Killer Joe, Bernie, Mud และ The
Lincoln Lawyer ก่อนจะพุ่งถึงจุดสูงสุดทางด้านอาชีพนักแสดงใน Dallas
Buyers Club ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เป็นครั้งแรก (หลังจากเฉียดฉิวในปีก่อนจากบทเจ้าของบาร์นักเต้นระบำเปลื้องผ้าใน Magic
Mike) กับบท รอน วู้ดรูฟ หนุ่มเท็กซัสที่ตกกระไดพลอยโจรกลายมาเป็นนักต่อสู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ในช่วงต้นทศวรรษ
1980 หลังจากเขาได้รับเชื้ออันตรายดังกล่าว และแพทย์ที่ตรวจพบบอกว่าเขาคงเหลือเวลาบนโลกอีกแค่หนึ่งเดือน
แต่วู้ดรูฟไม่ยอมแพ้ เขาพยายามหายาที่จะสามารถยืดอายุเขาให้ยาวนานขึ้น
และทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มันมา แม้ว่าจะต้องละเมิดกฎหมายด้วยการลักลอบขนยา
ซึ่งไม่ได้รับความเห็นชอบจากองค์การอาหารและยา
แน่นอนเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือในบทผู้ป่วยโรคเอดส์
แม็คคอนาเฮย์ต้องลดน้ำหนักลงเกือบ 20 กิโลกรัม จนกลายเป็นเหมือนโครงกระดูก
เขาเริ่มต้นด้วยการขอคำแนะนำจาก ทอม แฮงค์
ซึ่งเคยผ่านประสบการณ์ดังกล่าวมาแล้วจากการรับเล่นหนังเรื่อง Philadelphia และ Cast
Away การแปลงโฉมครั้งนี้สร้างอาการช็อกให้กับผู้คนจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับสภาพร่างกายอันฟิตเปรี๊ยะของเขาใน Magic
Mike “แรกๆ ตอนน้ำหนักเริ่มลดลงไม่มาก คนจะทักผมว่า หวัดดี
คุณสบายดีนะ แต่พอน้ำหนักตัวผมดิ่งลงมาที่ 61 กก. คราวนี้พวกเขาไม่ถามแล้วว่าผมเป็นอะไรมั้ย แต่จะพูดว่า พระเจ้า
คุณควรไปหาหมอได้แล้ว นั่นทำให้ผมคิดว่า โอเค น้ำหนักเท่านี้แหละเพอร์เฟ็กต์”
อย่างไรก็ตาม คุณพ่อลูกสองไม่ได้กังวลว่าการลดน้ำหนักจะส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมของเขาในระยะยาว “ผมทานแต่อาหารที่ดีมีประโยชน์ เพียงแต่ไม่ได้ทานในปริมาณมากนัก
ผมค้นพบว่าร่างกายมนุษย์มีความยืดหยุ่นมากกว่าที่ใครๆ คาดคิด”
นอกจากการเปลี่ยนโฉมรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว
แม็คคอนาเฮย์ยังไปพูดคุยกับลูกสาวและพี่สาวของวู้ดรูฟอีกด้วย
พร้อมทั้งค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับยาที่วู้ดรูฟลักลอบขนเข้ามา รวมถึงวิธีการหาช่องโหว่ของเขาในการขนยาผิดกฎหมาย
แต่อาวุธสำคัญที่ทำให้เข้า “เข้าถึง”
ตัวละครนี้มากสุดน่าจะเป็นไดอารีของวู้ดรูฟ
ซึ่งเปิดเผยความนึกคิดภายในหัวของชายหนุ่มในยามที่เขาคนเดียวอยู่เพียงลำพัง “ผมพบว่าสภาพการเงินของเขามีลักษณะแบบเดือนชนเดือน
และเขาเป็นคนที่ค่อนข้างโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา
ซึ่งนั่นเป็นช่วงก่อนที่เขาจะติดเชื้อ HIVน่าตลกตรงที่หลังจากเป็นโรคเอดส์
เขากลับค้นพบสิ่งที่ทำให้เขามีพลังลุกขึ้นสู้ พี่สาวของเขาพูดอยู่บ่อยครั้งมากว่ารอนเป็นคนประเภทเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ
ทำอะไรไม่เคยสำเร็จสักอย่าง
แต่การเจ็บป่วยครั้งนี้ทำให้เขาลุกขึ้นมาทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน”
ความยอดเยี่ยมของงานแสดงชิ้นนี้หาได้อยู่แค่เปลือกนอกเท่านั้น
เพราะแม็คคอนาเฮย์ได้ผสมผสานเสน่ห์ ความเจ้าเล่ห์ และบุคลิกแบบสบายๆ
ติดดินของเขาลงไปในตัวละคร คอยดึงคนดูให้เข้าใจ เห็นใจ และยกโทษให้กับพฤติกรรมนอกลู่นอกทางของรอนได้อย่างแนบเนียน
นุ่มนวล ขณะเดียวกันเขายังถ่ายทอดพัฒนาการในตัว รอน วู้ดรูฟ ได้อย่างเฉียบคม จากชายหนุ่มที่เคยเกลียดกลัวรักร่วมเพศอย่างหนัก
แต่สุดท้ายเมื่อต้องมาป่วยเป็นโรคร้ายแบบเดียวกับ ร็อค ฮัดสัน เขากลับกลายเป็นผู้ชายที่สามารถผูกมิตรและผูกพันกับกะเทยแต่งหญิงอย่าง
เรยอน (แจเร็ด เลโต) ได้อย่างสนิทใจ
ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ไม่แตกต่างจากการค่อยๆ ชุบชีวิตใหม่ให้กับเส้นทางบนสายบันเทิงของตัวเองสักเท่าไหร่
จึงไม่น่าแปลกใจหากเขาจะลงเอยด้วยการคว้ารางวัลสูงสุดในโลกแห่งภาพยนตร์มาครองในคืนวันที่
2 มีนาคม เพราะฮอลลีวู้ดชื่นชอบ “คัมแบ็ค” มากพอๆ กับผลงานแสดงอันงดงามและน่าทึ่งในเวลาเดียวกัน
ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ (The Wolf of Wall
Street)
“เงินเป็นสิ่งที่หลายคนหมกมุ่นค้นหามาครอบครอง”
ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ กล่าว “แต่ผมไม่เชื่อว่าเงินจะทำให้คนมีความสุขได้”
คำพูดข้างต้นช่างตรงข้ามกับความเชื่อของ จอร์แดน เบลฟอร์ท โบรกเกอร์ตลาดหุ้นที่เรื่องราวชีวิตถูก
มาร์ติน สกอร์เซซี นำมาดัดแปลงเป็นหนังเรื่อง The Wolf of Wall Street ทั้งนี้เพราะเบลฟอร์ทเชื่อว่าไม่มีเส้นทางไหนจะพุ่งตรงสู่ใจกลางความสุขได้ดีไปกว่าการมีเงินในครอบครอง
เขาหลอกบรรดานักลงทุนให้ทุ่มเงินจำนวนมากมายมหาศาล ใช้ชีวิตเยี่ยงหนุ่มเจ้าสำราญ
ฟู่ฟ่า และสิ้นเปลืองในแมนชั่นหลังใหญ่ เรือยอชท์ลำโต พร้อมด้วยเมียแสนสวย “มันเหมือนอาณาจักรโรมันของยุคปลาย 80 ถึงต้น 90” นักแสดงหนุ่มวัย 39 ปี พูดถึงหนังเรื่องใหม่ “มันเป็นช่วงเวลาที่โลกการเงินปราศจากการควบคุมดูแล
ส่งผลให้ชายผู้นี้สามารถใช้ชีวิตได้ราวกับตัวเองเป็นกษัตริย์โรมัน
เขาเสพติดเซ็กซ์และยา จนกระทั่งเมื่อ FBI เริ่มได้กลิ่นความฉ้อฉล
เขายิ่งไปไกลจนกู่ไม่กลับ ผมเคยเห็นหลายคนที่เป็นเหมือนเบลฟอร์ท
ทุกอย่างหมุนวนอยู่รอบความร่ำรวย
เนื่องจากพวกเขาไม่มีรากฐานที่มั่นคงในส่วนอื่นของชีวิต สิ่งที่พวกเขามีในครอบครองไม่ได้ทำให้พวกเขามีความสุข
แต่ขณะเดียวกันก็เสพติดเงินจนไม่อาจเลิกได้”
อดีตขวัญใจสาวน้อยสาวใหญ่จาก
Titanic
เป็นนักแสดงที่หวงแหนชีวิตส่วนตัวมาก
เขาเคยเดทซูเปอร์โมเดลสาวอยู่หลายคน และยังคงปฏิเสธที่จะพูดถึงคู่ควงคนล่าสุด
แต่ยินดีที่จะแจกแจงถึงการใช้ชีวิตแบบรวยเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ “ผมคิดว่าทุกคนก็ชอบเงินกันทั้งนั้น
แต่คุณจำเป็นต้องมีจุดยืนทางศีลธรรมและเข้าใจว่ายังมีสิ่งอื่นในชีวิตอีกหลายอย่างที่มีค่ามากกว่าเงิน
ผมคิดว่าความโลภเป็นธรรมชาติของมนุษย์ มีรากฐานมาจากสัญชาตญาณในการเอาตัวรอด
แต่มนุษย์ต้องยืนอยู่บนหลักจริยธรรมและไม่เอาเปรียบผู้อื่น” (น่าสังเกตว่างานแสดงอีกชิ้นของดิคาปริโอในปีเดียวกันนี้ คือ The
Great Gatsby ก็สะท้อนให้เห็นเช่นกันว่าแนวคิดสุขนิยมไม่ได้นำพาความสุขมาให้ตัวละครอย่างแท้จริง)
การแสดงอันน่าตื่นตะลึงและช็อกใครต่อใครหลายคนของดิคาปริโอใน
The Wolf
of Wall Street ส่งผลให้เขาถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์เป็นครั้งสี่
และอาจผลักดันให้เขาคว้ารางวัลมาครองในที่สุดหลังจากอกหักมาแล้วหลายครั้ง
แม้ว่าตัวละครที่เขารับเล่นจะห่างไกลจากคำว่า “น่าชื่นชม”
(เขาจัดให้มีการแข่งขันโยนคนแคระแทนลูกดอกและปาร์ตี้เซ็กซ์หมู่)
แต่ขณะเดียวกันเบลฟอร์ทก็เป็นตัวละครที่น่าจดจำ ไม่ต่างจาก กอร์ดอน
เก็คโค ในหนังเรื่อง Wall Street ของ โอลิเวอร์ สโตน
และบทวายร้ายตลาดหุ้นที่ปราศจากสำนึกทางด้านศีลธรรมแม้เพียงกระผีกริ้นในหนังเรื่องนั้นเองก็เป็นบทที่ทำให้
ไมเคิล ดั๊กลาส คว้ารางวัลออสการ์มาครอง “ผมหวังว่าคนดูจะเข้าใจว่าเราไม่ได้ให้อภัยกับพฤติกรรมของตัวละครในเรื่อง
แต่มันเป็นการสะท้อนภาพให้เห็นเด่นชัดเท่านั้น” ดิคาปริโอกล่าวสรุปเพื่อตอบโต้คำวิจารณ์อันหนาหูว่าหนังเรื่องนี้กำลังเชิดชูไลฟ์สไตล์ของเบลฟอร์ท
ผลงานตลกร้ายแบบจัดหนักเรื่องนี้ถือเป็นการร่วมงานกันครั้งที่
5 ระหว่างดิคาปริโอกับผู้กำกับระดับตำนานอย่าง มาร์ติน สกอร์เซซี หลังจาก Gangs of New York,
The Aviator, The Departed และ Shutter Island และจากคำบอกเล่าของดิคาปริโอ
เขาไม่เคยเห็นสกอร์เซซีสนุกกับการทำงานมากเท่าครั้งนี้มาก่อน เช่นเดียวกัน ถึงแม้ดิคาปริโอจะเริ่มเข้าวงการมาตั้งแต่อายุยังน้อย
และกลายเป็นที่จับตามองจากการประกบ โรเบิร์ต เดอ นีโร ได้อย่างไม่เกรงกลัวบารมีใน This
Boy’s Life เมื่อปี 1993 เขายังคงเต็มไปด้วยไฟในการสร้างสรรค์ผลงานให้ดียิ่งขึ้น
“แรงกระหายไม่เคยหายไปไหน” เขากล่าว
“มันไม่สำคัญว่าใครจะมองผมเช่นไรในฐานะนักแสดง เพราะเมื่อมองย้อนกลับไปผมรู้สึกภูมิใจทุกครั้งกับทุกๆ
เส้นทางที่ผมเลือก และนั่นเป็นทัศนคติที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง”
บรูซ เดิร์น (Nebraska)
ในผลงานกำกับชิ้นล่าสุดของ
อเล็กซานเดอร์ เพย์น เรื่อง Nebraska บรูซ เดิร์น รับบทเป็นวู้ดดี้ ตาแก่ที่เดินไม่ค่อยไหว
หูตึง และสมองใกล้เลอะเลือน เขาเชื่อว่าตัวเองชนะรางวัลใหญ่เป็นเงินล้าน
จึงออกเดินทางพร้อมกับลูกชายจากเมืองบิลลิง รัฐมอนแทนา ไปยังเมืองลินคอล์น
รัฐเนบราสกา เพื่อรับรางวัลซึ่งไม่มีอยู่จริง วู้ดดี้เป็นตัวละครที่มีบุคลิกค่อนข้างเงียบขรึมจนเกือบจะเหมือนเป็นใบ้
แถมยังขี้เหล้าอีกด้วย ซึ่งนั่นแทบจะเรียกได้ว่าตรงกันข้ามกับตัวจริงของเดิร์น
ผู้ไม่เคยแตะแอลกอฮอล์ หรือกระทั่งคาเฟอีน
และพูดเป็นต่อยหอย เขามักจะมีเรื่องสนุกๆ มาเล่าให้คนรอบข้างฟังอย่างไม่หยุดหย่อน
แต่สิ่งหนึ่งที่ทั้งสองคนเหมือนกัน คือ เดิร์นเชื่อว่าหนังเรื่องนี้เปรียบเสมือนตั๋วทองคำที่จะช่วยให้อาชีพนักแสดงของเขาพุ่งถึงจุดสูงสุด
“มันเป็นบทที่ดีที่สุดในชีวิตของผม
ทุกวันที่ต้องเข้าฉากผมรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก” นักแสดงวัย
77 ปีกล่าว นั่นถือเป็นเรื่องน่าตกใจ เมื่อพิจารณาว่าเขาอยู่ในวงการมานานกว่า 50
ปี เคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์จากการประกบ เจน ฟอนด้า ในหนังเรื่อง Coming
Home และเคยร่วมงานกับตำนานเขย่าขวัญอย่าง อัลเฟร็ด ฮิทช์ค็อค
แต่ดูเหมือนบทดีๆ มักจะตกไปอยู่ในมือของนักแสดงคนอื่นอยู่เสมอ คนอย่าง แจ๊ค
นิโคลสัน ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเดิร์นคนหนึ่ง เป็นต้น
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเดิร์นถึงต้องตามตื๊อ อเล็กซานเดอร์ เพย์น ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา
นับตั้งแต่เขาได้อ่านบทหนังเรื่องนี้ที่เขียนโดย บ็อบ เนลสัน
แน่นอน ความเชื่อของเดิร์นได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นจริง
(ต่างจากวู้ดดี้) เมื่อเขาคว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมมาครองจากเทศกาลหนังเมืองคานส์
ตามมาด้วยการถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์เป็นครั้งที่สอง (ครั้งแรกในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม)
เพย์นกล่าวว่าเขาไม่เคยเห็นใครบ้าพลังมากเท่าเดิร์นมาก่อน
เขาเดินทางไปร่วมโปรโมตหนังเรื่อง Nebraska ทั่วประเทศและนั่งชมหนังรอบพรีเมียร์ทุกครั้ง
“รู้สึกว่าบรูซจะได้ดูหนังเวอร์ชั่นเสร็จสมบูรณ์บ่อยครั้งกว่าผมเสียด้วยซ้ำ
ในช่วงบั้นปลายชีวิต
การได้รับบทเด่นและกวาดเสียงชื่นชมมาครองแบบเป็นเอกฉันท์มีความหมายกับเขามาก
เขามีพลังเหลือเฟือและกระตือรือร้นที่จะทำงาน”
แม้จะมีผลงานแสดงอย่างต่อเนื่อง
แต่เดิร์นรู้สึกว่าหลายครั้งเขามักจะถูกเลือกให้ต้องเล่นบทเดิมๆ เป็นคนบ้า
หรือคนโรคประสาท สืบเนื่องมาจากบทที่สร้างชื่อเสียงให้เขาใน Coming Home และ Black Sunday แต่วู้ดดี้เป็นบทประเภทพูดน้อย
แสดงออกไม่มาก ซึ่งทำให้บรูซนึกย้อนไปถึงบุคลิกของเขาในช่วงวัยเด็ก “บุคลิกด้านนั้นของผมไม่เคยปรากฏให้เห็นบนจอหนังมาก่อน
สิ่งหนึ่งที่ผมไม่ค่อยมีโอกาสได้ทำเวลาเล่นหนัง คือ การอยู่นิ่งๆ ไม่พูดไม่จา
ในระหว่างการถ่ายทำผมมักจะใช้เวลาหลายต่อหลายชั่วโมงปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปเรื่อย
และในหลายๆ ฉาก ผมจะถ่ายทำโดยการดึงเอาเครื่องช่วยฟังในหูออก”
เวลาอยู่ในกองถ่าย
เดิร์นจะชอบเล่าถึงเรื่องราวของเหล่าตำนานฮอลลีวู้ดทั้งหลาย
ประสบการณ์ของเขาในช่วงยุค 70 ที่ได้ร่วมงานกับ อีเลีย คาซาน,
ฮิทช์ค็อค, ฮาล แอชบี้ และ จอห์น แฟรงค์เก้นไฮเมอร์
ดวงตาเขาจะเปล่งประกายชีวิตชีวาแบบเด็กๆ “แต่พอถึงเวลาต้องเข้าฉาก”
วิล ฟอร์ท ซึ่งรับบทเป็นลูกชายของเขาในเรื่อง กล่าว “เขาจะแปลงร่างกลายเป็นอีกคนในทันที คนที่พูดน้อย
และมีบุคลิกตรงข้ามกับตัวจริงของเขาอย่างสิ้นเชิง มันน่าทึ่งมากๆ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น