วันอาทิตย์, มีนาคม 02, 2557

Oscar 2014: Best Actor



ชิวเอเทล เอจีโอฟอร์ (12 Years a Slave)

หนึ่งปีก่อนที่นักแสดงชาวอังกฤษเชื้อสายไนจีเรีย ชิวเอเทล เอจีโอฟอร์ จะเริ่มต้นถ่ายทำหนังเรื่อง 12 Years a Slave เขาได้มีโอกาสเดินทางไปยังเมืองซาวันนาห์ รัฐจอร์เจีย เพื่อถ่ายหนังอีกเรื่องหนึ่ง โดยระหว่างวันว่างเขาก็ไปลงชื่อทัวร์รอบเมืองซึ่งจุดหมายหนึ่งได้แก่ คอกทาสในช่วงศตวรรษที่ 19 ใช้สำหรับกักขังทาสแอฟริกันก่อนถูกส่งตัวไปประมูล ผมเห็นกลอนติดอยู่สูงท่วมหัวบนกำแพงจึงถามไกด์ว่ามันมีเอาไว้เพื่ออะไร เขาตอบว่าใช้สำหรับล่ามโซ่ชาวอิกโบ (ไนจีเรีย) ผมเลยพูดขึ้นว่า ผมก็เป็นชาวอิกโบไกด์นิ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะสาธยายประวัติศาสตร์ต่อไป นั่นเป็นจังหวะที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนว่าได้ย้อนอดีตกลับไปยังช่วงเวลานั้น รู้สึกได้ถึงกลิ่นเลือดและดีเอ็นเอของคนเชื้อสายเดียวกัน มันทรงพลังมากๆ

สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ 12 Years a Slave กลายเป็นขวัญใจนักวิจารณ์ในช่วงเทศกาลแจกรางวัล คือ การแสดงอันทรงพลังของเอจีโอฟอร์ในบท โซโลมอน นอร์ธับ นักไวโอลินจากนิวยอร์กที่โดนวางยาและลักพาตัวเพื่อนำไปขายเป็นทาสในรัฐลุยเซียนา ผู้กำกับ สตีฟ แม็คควีน ซึ่งคุ้นเคยกับผลงานที่ผ่านมาของเอจีโอฟอร์อยู่บ้าง เช่น Dirty Pretty Things ตัดสินใจเลือกเขามารับบทนอร์ธับทันทีที่มีโอกาสได้เจอตัวเป็นๆ ชิวเอเทลเป็นผู้ชายมารยาทดีและดูสง่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมต้องการให้คนดูรู้สึกจากตัวละครนี้แม็คควีนกล่าว ผมอยากให้คนดูตระหนักถึงเกียรติและความเป็นมนุษย์ของนอร์ธับ และชิวเอเทลก็มีออราบางอย่างซึ่งติดตัวเขามาแต่กำเนิด บางอย่างภายในที่สามารถถ่ายทอดออกมาบนจอได้อย่างชัดเจน นั่นคือความรู้สึกผมตอนเจอเขาเป็นครั้งแรก

แรกทีเดียวเอจีโอฟอร์ไม่ได้ตอบตกลงในทันที เขาลังเลเพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองจะแบกรับประเด็นยิ่งใหญ่ของหนังไว้บนบ่าไหวหรือไม่ ประเด็นที่เขาเองก็ไม่ได้มีความรู้มากนัก แต่หลังจากเอาชนะความกลัวได้แล้ว เอจีโอฟอร์ก็ก้มหน้าค้นหาข้อมูล เริ่มต้นด้วยการเดินทางจากคาลาบาร์ เมืองท่าในประเทศไนจีเรียซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าทาสในสมัยนั้น ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปยังชนบทในรัฐลุยเซียนา

จุดเด่นในการแสดงของเอจีโอฟอร์อยู่ตรงที่เขาเรียกร้องความเห็นใจจากคนดูได้อย่างอยู่หมัดโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยบทพูดใดๆ หลายฉากที่นอร์ธับต้องเผชิญหน้ากับเหล่าคนขาวจอมซาดิสต์ เขาถ่ายทอดอารมณ์ผ่านทางดวงตาและภาษาท่าทาง นับแต่วันแรกของการถ่ายทำผมจะเน้นโฟกัสไปยังดวงตาของชิวเอเทลแม็คควีนกล่าว คนดูสามารถเข้าใจความคิดและการกระทำของตัวละครได้จากสีหน้าเขา เขาเป็นนักแสดงที่เชื่อในเรื่องการเล่นน้อยแต่ได้มาก ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ในหนัง เพราะทุกอย่างล้วนเกี่ยวกับการควบคุมตัวเอง การเก็บอารมณ์ ความรู้สึกเอาไว้ข้างใน บางครั้งเขาทำให้คนดูไม่อาจละสายตาได้ด้วยการไม่ทำอะไรเลย

ถึงแม้จะเริ่มต้นอาชีพนักแสดงตั้งแต่อายุ 20 ปีจากการรับบทเล็กๆ ในหนังเรื่อง Amistad ของ สตีเวน สปีลเบิร์ก ตามมาด้วยบทเล็กๆ ในหนังดังอย่าง Children of Men และ Serenity แต่เอจีโอฟอร์กลับเชื่อว่าชะตากรรมลิขิตมาให้เขาเล่นละครเวที เขามีโอกาสแสดงละครของเชคสเปียร์และเชคอฟมากมายหลายเรื่อง ชื่นชอบขั้นตอนการซ้อมที่หนักหน่วง รวมไปถึงบรรยายกาศความใกล้ชิดระหว่างนักแสดงกับคนดู และการถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ก็ไม่ได้เปลี่ยนความตั้งใจของเขาที่จะจัดหาเวลาในการเล่นหนังไปพร้อมๆ กับแสดงละครเวที


คริสเตียน เบล (American Hustle)

บางครั้งเวลาดัดแปลงประวัติศาสตร์เป็นภาพยนตร์ การเสกสรรปั้นแต่งรายละเอียดบางอย่างก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ตัวอย่างเช่น เออร์วิง โรเซนเฟลด์ นักต้มตุ๋นจากย่านบรองซ์ผู้หลงใหลเสื้อสูทสีม่วงและวิกผมเห่ยๆ ใน American Hustle รับบทโดย คริสเตียน เบล เป็นตัวละครที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก เมลวิน ไวน์เบิร์ก แม้ว่าตัวจริงของเมลวินจะไม่ได้เหมือนกับตัวละครในหนังสักเท่าไหร่ เมลต้องฆ่าผมแน่ถ้าผมบอกว่าเออร์วิงคือเขานักแสดงวัย 39 ปีกล่าวพร้อมรอยยิ้มกริ่ม เขาจะบอกว่าเขาเป็นคนบ้าๆ ร่าเริง และสนุกสนาน ผมได้พูดคุยกับผู้คนที่รู้จักเขา พวกเขาบอกว่าเมลเป็นคนน่ารัก ผมรู้ว่าถ้าเมลได้ยินแบบนั้นเขาคงอยากจะอ้วก... เพื่อให้ตัวละครมีชีวิตชีวา คุณจำเป็นต้องไปให้ไกลกว่าการเลียนแบบ คุณต้องได้รับอนุญาตให้แต่งเติมสิ่งต่างๆ เข้าไปเพื่อให้คนดูสามารถเชื่อมโยงกับตัวละครได้

หกเดือนหลังจากปิดกล้อง เบลยังไม่อาจสลัดทิ้งโรเซนเฟลด์ได้อย่างถาวร เพราะเขาต้องใช้เวลาตลอดช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนในห้องอัดเสียงกับผู้กำกับ เดวิด โอ. รัสเซล เพื่อบันทึกเสียงบทสนทนาซ้ำ แก้ไขให้สำเนียงของเขาฟังดูน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันน้ำหนักเกือบ 20 กิโลกรัมที่เขาต้องเพิ่มขึ้นมาเพื่อรับบทนี้ก็ยังปรากฏร่องรอยให้เห็นบริเวณรอบเอว ผมเพิ่มน้ำหนักจนดูเหมือนซานตาคลอสเบลกล่าว พุงของผมยื่นออกมาข้างหน้าจนกระทั่งตอนนี้ผมก็ยังไม่สามารถใส่กางเกงยีนได้

พุงซานตาคลอสเป็นสิ่งแรกที่คนดูสังเกตเห็นในฉากเปิดเรื่องของ American Hustle เมื่อเออร์วิงกำลังยืนแต่งตัวอยู่หน้ากระจก พลางจัดทรงวิกผมปลอมๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วน ความไม่เนียนของวิกผมบนหัวเขา ซึ่งตรงกันข้ามอย่างยิ่งกับความนิ่งของเขาเวลาหลอกเงินคน เป็นสิ่งที่เบลมองว่ามีความสำคัญกับบท เขาเป็นเซียนโกงที่เชี่ยวชาญ แต่ไม่สามารถตุ๋นใครให้เชื่อได้ว่าไอ้สิ่งที่เขาเอามาแปะอยู่บนหัวนั่นเป็นผมจริงๆเบลกล่าวราวกับว่าเขาทุ่มทุกอย่างไปกับการตุ๋นคน จนไม่เหลือพลังที่จะหลอกใครได้อีก มันน่าสนใจกว่าการเล่นเป็นเออร์วิงที่เนียนขั้นเทพ

การทุ่มเทเพื่อแปลงโฉมเป็นตัวละครหาใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับเบล เพราะนับแต่คว้ารางวัลออสการ์มาครองจากบทอดีตนักมวยติดยา (เขาลดน้ำหนักจนแทบจะเหลือแค่หนังหุ้มกระดูก) ใน The Fighter เบลก็สร้างชื่อเสียงกระฉ่อนในฐานะนักแสดงคุณภาพและจริงจังในหน้าที่การงาน ข้อพิสูจน์ที่เห็นได้ชัดเจน คือ ภาพลักษณ์อีกด้านที่ตรงกันข้ามในหนังเรื่อง Out of the Furnace ซึ่งเข้าฉายในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยคราวนี้เขารับบทเป็นคนงานในโรงงานถลุงเหล็กที่ต้องเผชิญหน้ากับโศกนาฏกรรม รัสเซล เบซ เป็นตัวละครที่มีบุคลิกแตกต่างจากเออร์วิงราวฟ้ากับเหว สิ่งเดียวที่เหมือนกัน คือ ความทุ่มเทที่จะปกป้องบุคคลที่เขารัก แต่เบลกลับทำให้ตัวละครทั้งสองดูน่าเชื่อถือได้อย่างมหัศจรรย์

แม้จะกวาดคำชมและได้รางวัลมาครองมากมาย แต่เบลค่อนข้างระแวดระวังกับเรื่องพวกนี้ เขารู้สึกซาบซึ้งที่หลายคนชื่นชอบผลงาน แต่ขณะเดียวกันรางวัลและคำชมหาใช่แรงบันดาลใจในการผลิตผลงานของเขา ผมก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง คงเป็นการโกหกถ้าจะพูดว่ามันไม่สำคัญสำหรับผมเลยนักแสดงผู้รับเป็นโมเสสในหนังมหากาพย์ฟอร์มยักษ์ของ ริดลีย์ สก็อตต์ เรื่อง Exodus กล่าว บางทีสำคัญอาจเป็นคำที่ไม่ตรงนัก แต่แน่นอนว่าคุณย่อมรู้สึกภาคภูมิใจ เวลามีคนบอกว่าพวกเขาชื่นชอบสิ่งที่คุณทำและอยากจะให้อะไรบางอย่างกับคุณเพื่อแสดงให้เห็นว่าเราชอบมันแค่ไหน แต่กระนั้นถึงแม้หนังจะไม่ได้รางวัลใดๆ เลยก็ไม่ได้หมายความว่ามันไร้ค่าเช่นกัน


แม็ทธิว แม็คคอนาเฮย์ (Dallas Buyers Club)

หนึ่งในเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวงการภาพยนตร์ปีนี้ คือ การ เกิดใหม่ของ แม็ทธิว แม็คคอนาเฮย์ จากดาราหนุ่มหล่อที่ชอบถอดเสื้อโชว์กล้ามในหนังตลาดที่ไม่น่าจดจำอย่าง Fool’s Gold, Failure to Launch, The Wedding Planner และ How to Lose a Guy in 10 Days กลายมาเป็นนักแสดงคุณภาพเข้มข้นตลอดช่วงสองสามปีที่ผ่านมาในหนังอย่าง Killer Joe, Bernie, Mud และ The Lincoln Lawyer ก่อนจะพุ่งถึงจุดสูงสุดทางด้านอาชีพนักแสดงใน Dallas Buyers Club ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เป็นครั้งแรก (หลังจากเฉียดฉิวในปีก่อนจากบทเจ้าของบาร์นักเต้นระบำเปลื้องผ้าใน Magic Mike) กับบท รอน วู้ดรูฟ หนุ่มเท็กซัสที่ตกกระไดพลอยโจรกลายมาเป็นนักต่อสู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 หลังจากเขาได้รับเชื้ออันตรายดังกล่าว และแพทย์ที่ตรวจพบบอกว่าเขาคงเหลือเวลาบนโลกอีกแค่หนึ่งเดือน แต่วู้ดรูฟไม่ยอมแพ้ เขาพยายามหายาที่จะสามารถยืดอายุเขาให้ยาวนานขึ้น และทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มันมา แม้ว่าจะต้องละเมิดกฎหมายด้วยการลักลอบขนยา ซึ่งไม่ได้รับความเห็นชอบจากองค์การอาหารและยา

แน่นอนเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือในบทผู้ป่วยโรคเอดส์ แม็คคอนาเฮย์ต้องลดน้ำหนักลงเกือบ 20 กิโลกรัม จนกลายเป็นเหมือนโครงกระดูก เขาเริ่มต้นด้วยการขอคำแนะนำจาก ทอม แฮงค์ ซึ่งเคยผ่านประสบการณ์ดังกล่าวมาแล้วจากการรับเล่นหนังเรื่อง Philadelphia และ Cast Away การแปลงโฉมครั้งนี้สร้างอาการช็อกให้กับผู้คนจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับสภาพร่างกายอันฟิตเปรี๊ยะของเขาใน Magic Mike “แรกๆ ตอนน้ำหนักเริ่มลดลงไม่มาก คนจะทักผมว่า หวัดดี คุณสบายดีนะ แต่พอน้ำหนักตัวผมดิ่งลงมาที่ 61 กก. คราวนี้พวกเขาไม่ถามแล้วว่าผมเป็นอะไรมั้ย แต่จะพูดว่า พระเจ้า คุณควรไปหาหมอได้แล้ว นั่นทำให้ผมคิดว่า โอเค น้ำหนักเท่านี้แหละเพอร์เฟ็กต์อย่างไรก็ตาม คุณพ่อลูกสองไม่ได้กังวลว่าการลดน้ำหนักจะส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมของเขาในระยะยาว ผมทานแต่อาหารที่ดีมีประโยชน์ เพียงแต่ไม่ได้ทานในปริมาณมากนัก ผมค้นพบว่าร่างกายมนุษย์มีความยืดหยุ่นมากกว่าที่ใครๆ คาดคิด

นอกจากการเปลี่ยนโฉมรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว แม็คคอนาเฮย์ยังไปพูดคุยกับลูกสาวและพี่สาวของวู้ดรูฟอีกด้วย พร้อมทั้งค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับยาที่วู้ดรูฟลักลอบขนเข้ามา รวมถึงวิธีการหาช่องโหว่ของเขาในการขนยาผิดกฎหมาย แต่อาวุธสำคัญที่ทำให้เข้า เข้าถึงตัวละครนี้มากสุดน่าจะเป็นไดอารีของวู้ดรูฟ ซึ่งเปิดเผยความนึกคิดภายในหัวของชายหนุ่มในยามที่เขาคนเดียวอยู่เพียงลำพัง ผมพบว่าสภาพการเงินของเขามีลักษณะแบบเดือนชนเดือน และเขาเป็นคนที่ค่อนข้างโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา ซึ่งนั่นเป็นช่วงก่อนที่เขาจะติดเชื้อ HIVน่าตลกตรงที่หลังจากเป็นโรคเอดส์ เขากลับค้นพบสิ่งที่ทำให้เขามีพลังลุกขึ้นสู้ พี่สาวของเขาพูดอยู่บ่อยครั้งมากว่ารอนเป็นคนประเภทเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ทำอะไรไม่เคยสำเร็จสักอย่าง แต่การเจ็บป่วยครั้งนี้ทำให้เขาลุกขึ้นมาทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

ความยอดเยี่ยมของงานแสดงชิ้นนี้หาได้อยู่แค่เปลือกนอกเท่านั้น เพราะแม็คคอนาเฮย์ได้ผสมผสานเสน่ห์ ความเจ้าเล่ห์ และบุคลิกแบบสบายๆ ติดดินของเขาลงไปในตัวละคร คอยดึงคนดูให้เข้าใจ เห็นใจ และยกโทษให้กับพฤติกรรมนอกลู่นอกทางของรอนได้อย่างแนบเนียน นุ่มนวล ขณะเดียวกันเขายังถ่ายทอดพัฒนาการในตัว รอน วู้ดรูฟ ได้อย่างเฉียบคม จากชายหนุ่มที่เคยเกลียดกลัวรักร่วมเพศอย่างหนัก แต่สุดท้ายเมื่อต้องมาป่วยเป็นโรคร้ายแบบเดียวกับ ร็อค ฮัดสัน เขากลับกลายเป็นผู้ชายที่สามารถผูกมิตรและผูกพันกับกะเทยแต่งหญิงอย่าง เรยอน (แจเร็ด เลโต) ได้อย่างสนิทใจ ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ไม่แตกต่างจากการค่อยๆ ชุบชีวิตใหม่ให้กับเส้นทางบนสายบันเทิงของตัวเองสักเท่าไหร่ จึงไม่น่าแปลกใจหากเขาจะลงเอยด้วยการคว้ารางวัลสูงสุดในโลกแห่งภาพยนตร์มาครองในคืนวันที่ 2 มีนาคม เพราะฮอลลีวู้ดชื่นชอบ คัมแบ็ค มากพอๆ กับผลงานแสดงอันงดงามและน่าทึ่งในเวลาเดียวกัน


ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ (The Wolf of Wall Street)

 “เงินเป็นสิ่งที่หลายคนหมกมุ่นค้นหามาครอบครองลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ กล่าว แต่ผมไม่เชื่อว่าเงินจะทำให้คนมีความสุขได้คำพูดข้างต้นช่างตรงข้ามกับความเชื่อของ จอร์แดน เบลฟอร์ท โบรกเกอร์ตลาดหุ้นที่เรื่องราวชีวิตถูก มาร์ติน สกอร์เซซี นำมาดัดแปลงเป็นหนังเรื่อง The Wolf of Wall Street ทั้งนี้เพราะเบลฟอร์ทเชื่อว่าไม่มีเส้นทางไหนจะพุ่งตรงสู่ใจกลางความสุขได้ดีไปกว่าการมีเงินในครอบครอง เขาหลอกบรรดานักลงทุนให้ทุ่มเงินจำนวนมากมายมหาศาล ใช้ชีวิตเยี่ยงหนุ่มเจ้าสำราญ ฟู่ฟ่า และสิ้นเปลืองในแมนชั่นหลังใหญ่ เรือยอชท์ลำโต พร้อมด้วยเมียแสนสวย มันเหมือนอาณาจักรโรมันของยุคปลาย 80 ถึงต้น 90นักแสดงหนุ่มวัย 39 ปี พูดถึงหนังเรื่องใหม่ มันเป็นช่วงเวลาที่โลกการเงินปราศจากการควบคุมดูแล ส่งผลให้ชายผู้นี้สามารถใช้ชีวิตได้ราวกับตัวเองเป็นกษัตริย์โรมัน เขาเสพติดเซ็กซ์และยา จนกระทั่งเมื่อ FBI เริ่มได้กลิ่นความฉ้อฉล เขายิ่งไปไกลจนกู่ไม่กลับ ผมเคยเห็นหลายคนที่เป็นเหมือนเบลฟอร์ท ทุกอย่างหมุนวนอยู่รอบความร่ำรวย เนื่องจากพวกเขาไม่มีรากฐานที่มั่นคงในส่วนอื่นของชีวิต สิ่งที่พวกเขามีในครอบครองไม่ได้ทำให้พวกเขามีความสุข แต่ขณะเดียวกันก็เสพติดเงินจนไม่อาจเลิกได้

อดีตขวัญใจสาวน้อยสาวใหญ่จาก Titanic เป็นนักแสดงที่หวงแหนชีวิตส่วนตัวมาก เขาเคยเดทซูเปอร์โมเดลสาวอยู่หลายคน และยังคงปฏิเสธที่จะพูดถึงคู่ควงคนล่าสุด แต่ยินดีที่จะแจกแจงถึงการใช้ชีวิตแบบรวยเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ ผมคิดว่าทุกคนก็ชอบเงินกันทั้งนั้น แต่คุณจำเป็นต้องมีจุดยืนทางศีลธรรมและเข้าใจว่ายังมีสิ่งอื่นในชีวิตอีกหลายอย่างที่มีค่ามากกว่าเงิน ผมคิดว่าความโลภเป็นธรรมชาติของมนุษย์ มีรากฐานมาจากสัญชาตญาณในการเอาตัวรอด แต่มนุษย์ต้องยืนอยู่บนหลักจริยธรรมและไม่เอาเปรียบผู้อื่น” (น่าสังเกตว่างานแสดงอีกชิ้นของดิคาปริโอในปีเดียวกันนี้ คือ The Great Gatsby ก็สะท้อนให้เห็นเช่นกันว่าแนวคิดสุขนิยมไม่ได้นำพาความสุขมาให้ตัวละครอย่างแท้จริง)

การแสดงอันน่าตื่นตะลึงและช็อกใครต่อใครหลายคนของดิคาปริโอใน The Wolf of Wall Street ส่งผลให้เขาถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์เป็นครั้งสี่ และอาจผลักดันให้เขาคว้ารางวัลมาครองในที่สุดหลังจากอกหักมาแล้วหลายครั้ง แม้ว่าตัวละครที่เขารับเล่นจะห่างไกลจากคำว่า น่าชื่นชม” (เขาจัดให้มีการแข่งขันโยนคนแคระแทนลูกดอกและปาร์ตี้เซ็กซ์หมู่) แต่ขณะเดียวกันเบลฟอร์ทก็เป็นตัวละครที่น่าจดจำ ไม่ต่างจาก กอร์ดอน เก็คโค ในหนังเรื่อง Wall Street ของ โอลิเวอร์ สโตน และบทวายร้ายตลาดหุ้นที่ปราศจากสำนึกทางด้านศีลธรรมแม้เพียงกระผีกริ้นในหนังเรื่องนั้นเองก็เป็นบทที่ทำให้ ไมเคิล ดั๊กลาส คว้ารางวัลออสการ์มาครองผมหวังว่าคนดูจะเข้าใจว่าเราไม่ได้ให้อภัยกับพฤติกรรมของตัวละครในเรื่อง แต่มันเป็นการสะท้อนภาพให้เห็นเด่นชัดเท่านั้นดิคาปริโอกล่าวสรุปเพื่อตอบโต้คำวิจารณ์อันหนาหูว่าหนังเรื่องนี้กำลังเชิดชูไลฟ์สไตล์ของเบลฟอร์ท

ผลงานตลกร้ายแบบจัดหนักเรื่องนี้ถือเป็นการร่วมงานกันครั้งที่ 5 ระหว่างดิคาปริโอกับผู้กำกับระดับตำนานอย่าง มาร์ติน สกอร์เซซี หลังจาก Gangs of New York, The Aviator, The Departed และ Shutter Island และจากคำบอกเล่าของดิคาปริโอ เขาไม่เคยเห็นสกอร์เซซีสนุกกับการทำงานมากเท่าครั้งนี้มาก่อน เช่นเดียวกัน ถึงแม้ดิคาปริโอจะเริ่มเข้าวงการมาตั้งแต่อายุยังน้อย และกลายเป็นที่จับตามองจากการประกบ โรเบิร์ต เดอ นีโร ได้อย่างไม่เกรงกลัวบารมีใน This Boy’s Life เมื่อปี 1993 เขายังคงเต็มไปด้วยไฟในการสร้างสรรค์ผลงานให้ดียิ่งขึ้น แรงกระหายไม่เคยหายไปไหนเขากล่าว มันไม่สำคัญว่าใครจะมองผมเช่นไรในฐานะนักแสดง เพราะเมื่อมองย้อนกลับไปผมรู้สึกภูมิใจทุกครั้งกับทุกๆ เส้นทางที่ผมเลือก และนั่นเป็นทัศนคติที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง


บรูซ เดิร์น (Nebraska)

ในผลงานกำกับชิ้นล่าสุดของ อเล็กซานเดอร์ เพย์น เรื่อง Nebraska บรูซ เดิร์น รับบทเป็นวู้ดดี้ ตาแก่ที่เดินไม่ค่อยไหว หูตึง และสมองใกล้เลอะเลือน เขาเชื่อว่าตัวเองชนะรางวัลใหญ่เป็นเงินล้าน จึงออกเดินทางพร้อมกับลูกชายจากเมืองบิลลิง รัฐมอนแทนา ไปยังเมืองลินคอล์น รัฐเนบราสกา เพื่อรับรางวัลซึ่งไม่มีอยู่จริง วู้ดดี้เป็นตัวละครที่มีบุคลิกค่อนข้างเงียบขรึมจนเกือบจะเหมือนเป็นใบ้ แถมยังขี้เหล้าอีกด้วย ซึ่งนั่นแทบจะเรียกได้ว่าตรงกันข้ามกับตัวจริงของเดิร์น ผู้ไม่เคยแตะแอลกอฮอล์  หรือกระทั่งคาเฟอีน และพูดเป็นต่อยหอย เขามักจะมีเรื่องสนุกๆ มาเล่าให้คนรอบข้างฟังอย่างไม่หยุดหย่อน แต่สิ่งหนึ่งที่ทั้งสองคนเหมือนกัน คือ เดิร์นเชื่อว่าหนังเรื่องนี้เปรียบเสมือนตั๋วทองคำที่จะช่วยให้อาชีพนักแสดงของเขาพุ่งถึงจุดสูงสุด

มันเป็นบทที่ดีที่สุดในชีวิตของผม ทุกวันที่ต้องเข้าฉากผมรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกนักแสดงวัย 77 ปีกล่าว นั่นถือเป็นเรื่องน่าตกใจ เมื่อพิจารณาว่าเขาอยู่ในวงการมานานกว่า 50 ปี เคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์จากการประกบ เจน ฟอนด้า ในหนังเรื่อง Coming Home และเคยร่วมงานกับตำนานเขย่าขวัญอย่าง อัลเฟร็ด ฮิทช์ค็อค แต่ดูเหมือนบทดีๆ มักจะตกไปอยู่ในมือของนักแสดงคนอื่นอยู่เสมอ คนอย่าง แจ๊ค นิโคลสัน ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเดิร์นคนหนึ่ง เป็นต้น นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเดิร์นถึงต้องตามตื๊อ อเล็กซานเดอร์ เพย์น ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่เขาได้อ่านบทหนังเรื่องนี้ที่เขียนโดย บ็อบ เนลสัน

แน่นอน  ความเชื่อของเดิร์นได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นจริง (ต่างจากวู้ดดี้) เมื่อเขาคว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมมาครองจากเทศกาลหนังเมืองคานส์ ตามมาด้วยการถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์เป็นครั้งที่สอง (ครั้งแรกในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม) เพย์นกล่าวว่าเขาไม่เคยเห็นใครบ้าพลังมากเท่าเดิร์นมาก่อน เขาเดินทางไปร่วมโปรโมตหนังเรื่อง Nebraska ทั่วประเทศและนั่งชมหนังรอบพรีเมียร์ทุกครั้งรู้สึกว่าบรูซจะได้ดูหนังเวอร์ชั่นเสร็จสมบูรณ์บ่อยครั้งกว่าผมเสียด้วยซ้ำ ในช่วงบั้นปลายชีวิต การได้รับบทเด่นและกวาดเสียงชื่นชมมาครองแบบเป็นเอกฉันท์มีความหมายกับเขามาก เขามีพลังเหลือเฟือและกระตือรือร้นที่จะทำงาน

แม้จะมีผลงานแสดงอย่างต่อเนื่อง แต่เดิร์นรู้สึกว่าหลายครั้งเขามักจะถูกเลือกให้ต้องเล่นบทเดิมๆ เป็นคนบ้า หรือคนโรคประสาท สืบเนื่องมาจากบทที่สร้างชื่อเสียงให้เขาใน Coming Home และ Black Sunday แต่วู้ดดี้เป็นบทประเภทพูดน้อย แสดงออกไม่มาก ซึ่งทำให้บรูซนึกย้อนไปถึงบุคลิกของเขาในช่วงวัยเด็ก บุคลิกด้านนั้นของผมไม่เคยปรากฏให้เห็นบนจอหนังมาก่อน สิ่งหนึ่งที่ผมไม่ค่อยมีโอกาสได้ทำเวลาเล่นหนัง คือ การอยู่นิ่งๆ ไม่พูดไม่จา ในระหว่างการถ่ายทำผมมักจะใช้เวลาหลายต่อหลายชั่วโมงปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปเรื่อย และในหลายๆ ฉาก ผมจะถ่ายทำโดยการดึงเอาเครื่องช่วยฟังในหูออก

เวลาอยู่ในกองถ่าย เดิร์นจะชอบเล่าถึงเรื่องราวของเหล่าตำนานฮอลลีวู้ดทั้งหลาย ประสบการณ์ของเขาในช่วงยุค 70 ที่ได้ร่วมงานกับ อีเลีย คาซาน, ฮิทช์ค็อค, ฮาล แอชบี้ และ จอห์น แฟรงค์เก้นไฮเมอร์ ดวงตาเขาจะเปล่งประกายชีวิตชีวาแบบเด็กๆ แต่พอถึงเวลาต้องเข้าฉากวิล ฟอร์ท ซึ่งรับบทเป็นลูกชายของเขาในเรื่อง กล่าว เขาจะแปลงร่างกลายเป็นอีกคนในทันที คนที่พูดน้อย และมีบุคลิกตรงข้ามกับตัวจริงของเขาอย่างสิ้นเชิง มันน่าทึ่งมากๆ”  

ไม่มีความคิดเห็น: