แบรดลีย์ คูเปอร์ (Silver Linings Playbook)
ภาพลักษณ์เดิมๆ ของ
แบรดลีย์ คูเปอร์ ซูเปอร์สตาร์จากหนังชุด The Hangover (ภาค
3 กำลังถ่ายทำกันอยู่) และหนุ่มเซ็กซี่ที่สุดแห่งปี 2011
ของนิตยสาร People กำลังถูกทำลายลงอย่างราบคาบพร้อมกับการมาถึงของหนังเรื่อง Silver
Linings Playbook ซึ่งเขารับบทเป็น แพ็ท โซลิทาโน
ชายหนุ่มที่เพิ่งออกจากรพ.โรคจิตมาอาศัยอยู่กับพ่อแม่ และมีความตั้งใจสูงสุดที่จะเอาชนะใจอดีตภรรยาเพื่อให้เธอหันกลับมาคืนดีกับเขา
บุคลิกแมนๆ ดูมั่นใจในตัวเองแบบที่คนดูคุ้นเคยถูกแทนที่ด้วยอารมณ์เปราะบางและไม่มั่นคง
โซลิทาโนถือเป็นตัวละครที่ห่างไกลจาก “โซนปลอดภัย” ของคูเปอร์ ซึ่งยอมรับว่า “ครั้งแรกที่ได้อ่านบท
ผมไม่คิดว่าตัวเองจะเล่นบทนี้ได้ ผมรู้สึกกลัวๆ ไม่แน่ใจว่าจะสามารถเปลือยอารมณ์
แล้วจมดิ่งไปกับสถานการณ์อันสุดโต่งได้หรือเปล่า” แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในฐานะนักแสดง
และแน่นอน ผลลัพธ์ที่ออกมานับว่างดงามเกินความคาดหมาย
ผู้กำกับ เดวิด โอ รัสเซลล์
รู้จักคูเปอร์เป็นครั้งแรกจากหนังเรื่อง Wedding Crashers ซึ่งเขารับบทหนุ่มนักกีฬาจอมยโส
“เขาดูเป็นคนโมโหร้าย” รัสเซลล์กล่าว
“นับเป็นคุณสมบัติที่เหมาะกับตัวละครนี้มาก
เพราะแพ็ทมักจะทำให้คนรอบข้างรู้สึกอึดอัด เขามีความมุ่งมั่นรุนแรงจนดูน่ากลัว”
คูเปอร์เชื่อว่าเขาได้เชื้อนักแสดงมาจากพ่อ
ซึ่งชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจและเป็นคนแนะนำให้ลูกชายวัยเด็กได้รู้จักกับผลงานคลาสสิกอย่าง
Apocalypse Now, The Deer Hunter และที่ติดตาติดใจคูเปอร์มากที่สุด
คือ The Elephant Man “ผมอายุ 12
ตอนพ่อเปิดหนังเรื่องนั้นให้ดู มันกลายเป็นความหมกมุ่นของผมในเวลาต่อมา”
เขากล่าว หนังเรื่องนั้นทำให้คูเปอร์ตัดสินใจได้ว่าอยากเป็นนักแสดงและลงคอร์สเรียนใน
Actors Studio ที่นิวยอร์กหลังเรียนจบจากมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ในวอชิงตัน
คูเปอร์เล่าว่าพ่อกับแม่อยากให้เขาทำงานในแวดวงการเงิน จนกระทั่งทั้งสองได้มาดูฝีไม้ลายมือของเขาในละครเวทีเรื่อง
The Elephant Man ที่ Actors Studio กับบทชายผู้มีความผิดปกติทางกระดูกและผิวหนังจนรูปร่างหน้าตาบิดเบี้ยวผิดมนุษย์มนา
(เขาจะกลับมารับบทนี้อีกครั้งในช่วงฤดูร้อน) ความแตกต่างระหว่างละครกับหนังอยู่ตรงที่ในเวอร์ชั่นละครนักแสดงไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้เทคนิคการเมคอัพเข้าช่วย
แต่ต้องอาศัยน้ำเสียง วิธีการพูดและการเคลื่อนไหวเพื่อสื่อสารถึงความพิกลพิการทางร่างกายของตัวละครเอก
แรกเริ่มเดิมทีบท แพ็ท โซลิทาโน
จะตกเป็นของ มาร์ค วอห์ลเบิร์ก (หนังเรื่องนี้วางแผนสร้างก่อน The
Fighter) แต่จากการได้พูดคุยเกี่ยวกับหลากหลายโปรเจ็คระหว่างรัสเซลล์กับคูเปอร์
(หนึ่งในนั้น คือ หนังไฮบริดชื่อ Pride and Prejudice
and Zombies) ทำให้ผู้กำกับมั่นใจว่าเขาเหมาะจะรับบทแพ็ทยิ่งกว่าใครๆ
“แรงกระหายและความมุ่งมั่นของแพ็ทที่จะปรับปรุงตัวเองก็ไม่ต่างจากความมุ่งมั่นของแบรดลีย์ในฐานะนักแสดง
เขายังไม่มีโอกาสได้เปิดเผยมิติอื่นๆ ให้คนได้ประจักษ์ เขาต้องการอย่างยิ่งที่จะให้ผู้คนมองเขาเป็นนักแสดงมากกว่าแค่ดาราหน้าตาดี”
รัสเซลล์กล่าว ความเชื่อมั่นของผู้กำกับทำให้คูเปอร์ล้วงลึกเข้าไปสำรวจอารมณ์ภายในของตนเอง
ทั้งความโกรธขึ้งและความว่างเปล่า ซึ่งเขาไม่เคยตระหนักมาก่อน จนการรับบท แพ็ท
โซลิทาโน กลายงานแสดงที่ดีที่สุดในชีวิตของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
ฮิวจ์ แจ๊คแมน (Les Miserables)
เพื่อให้สามารถสวมวิญญาณ ฌอง
วัลฌอง อดีตนักโทษที่เข้าร่วมขบวนการปฏิวัติฝรั่งเศสในหนังเพลง ซึ่งดัดแปลงมาจากละครบรอดเวย์สุดคลาสสิกเรื่อง
Les
Miserables ได้อย่างแนบเนียน ฮิวจ์ แจ๊คแมน ยินดีจะทำทุกอย่างที่จำเป็น
รวมถึงการซ้อมร้องเพลงระหว่างยกเวทเพื่อฟิตหุ่น ทั้งนี้เพราะตามบทแล้ววัลฌองต้องมีรูปร่างแข็งแกร่งเหมือนสัตว์จากการใช้แรงงานหนักในคุกเป็นเวลา
19 ปี แต่ขณะเดียวกันในความเป็นหนังเพลง สิ่งสำคัญที่เขาไม่อาจมองข้ามได้ คือ
เสียงร้องอันทรงพลัง นักแสดงวัย 44 ปีให้เหตุผลว่า หากเขาไม่ร้องเพลงไปพร้อมๆ
กับกิจกรรมฟิตร่างกาย (พร้อมควบคุมอาหารเพื่อให้รูปร่างเหมาะสมกับบทนักโทษที่ต้องอดๆ
อยากๆ) อาการปวดกล้ามเนื้อบริเวณคออาจทำให้เขาไม่สามารถร้องเพลงให้ตรงคีย์ได้
เสียงร้องกลายเป็นเรื่องที่เขาไม่อาจมองข้าม
หลังจากผู้กำกับ ทอม ฮูเปอร์ ตัดสินใจถ่ายหนังโดยให้นักแสดงทุกคนร้องเพลงจริงๆ
ในทุกเทค แทนการบันทึกเสียงไว้ก่อนแล้วค่อยลิปซิงค์เวลาถ่ายทำแบบหนังเพลงทั่วๆ ไป
ซึ่งนั่นบังคับให้เขาต้องสามารถร้องเพลงต่อเนื่องกันได้วันละ 12 ชม. ฉะนั้นการดูแล
บำรุงรักษา ตลอดจนหมั่นบริหารเส้นเสียงจึงกลายเป็นกิจวัตรจำเป็น นั่นหมายถึงเขาต้องหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ
วอร์มอัพเสียงอย่างน้อย 15 นาทีต่อวัน พกลูกอมแก้ไอตลอดเวลา ดื่มน้ำวันละกว่า 7
ลิตร นั่งผ่อนคลายในห้องอบไอน้ำ 3 ครั้งต่อวัน นอนแช่ในน้ำเย็บเฉียบ
และคลุมใบหน้าด้วยผ้าขนหนูบีบหมาดทุกครั้งที่เดินทางโดยเครื่องบิน “ผมต้องสูดความชื้นเข้าร่างกายตลอดเวลา”
เขากล่าว “เส้นเสียงของคุณจะต้องมีลักษณะเหมือนป่าร้อนชื้น”
นักดูหนังส่วนใหญ่อาจรู้จัก
ฮิวจ์ แจ๊คแมน จากบทซูเปอร์ฮีโร่นาม วูฟเวอรีน ในหนังฮิตถล่มทลายชุด X-Men แต่ความจริงแล้วแจ๊คแมนเริ่มหลงใหลในละครเพลงมาตั้งแต่ช่วงเรียนชั้นมัธยม เมื่อเขาเห็น
ฮิวโก วีฟวิง (สมัยยังไม่ดัง) รับบทนำในละครเพลงเรื่อง
Man of La Mancha จากนั้นแจ๊คแมนก็เดินหน้าตามความฝัน และเริ่มต้นเส้นทางสู่บรอดเวย์ด้วยการรับบทศาตราจารย์ฮิกกินส์ในละครเพลงของโรงเรียนเรื่อง
My Fair Lady แต่ความฝันของเขาเกือบจะต้องหยุดชะงักกลางทางเมื่อถูกพี่ชายล้อว่าเป็นตุ๊ด
เนื่องจากเขาแสดงเจตจำนงว่าจะลงเรียนคอร์สเต้นรำ “ผมอยากให้เรื่องลงเอยแบบ
Billy Elliot แต่ผมขี้ขลาดเกินไป” แจ๊คแมนเล่า
แต่โชคดีที่พี่ชายเขาเปลี่ยนใจ ก่อนจะเอ่ยปากขอโทษเขาหลังทุกคนในครอบครัวเดินทางไปดูละครเพลงเรื่อง
42nd Street ด้วยกัน วันรุ่นขึ้นแจ๊คแมนตัดสินใจสมัครเรียนการเต้นแท็ป
จากนั้นอีก 18 ปีต่อมา เขาก็ลงเอยด้วยการชนะรางวัลโทนี่จากละครเพลงเรื่อง The
Boy from Oz
ประสบการณ์อันช่ำชองในแวดวงละครเพลงทำให้แจ๊คแมนไม่ลืมการฝึกฝนอีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้กัน
และมีผลอย่างยิ่งในการช่วยให้เขาเข้าถึงความรู้สึกภายในของตัวละคร
มันเป็นแบบฝึกหัดที่เขาเรียนรู้มาจากผู้กำกับละครเวทีชื่อก้อง เทรเวอร์ นันน์
ตอนทั้งสองร่วมงานกันในละครเพลงเรื่อง Oklahoma! โดยในช่วง 3
สัปดาห์แรกนันน์จะไม่ยอมให้นักแสดงร้องเพลงแม้แต่ประโยคเดียว แต่ต้องพูดทุกคำร้องราวกับมันเป็นบทสนทนาปกติในชีวิตประจำวัน
“นั่นเป็นสิ่งที่ผมทำก่อนเข้าฉากในหนังเรื่อง Les
Miserables” แจ๊คแมนเล่า “ผมจะคัดลอกคำร้องลงบนกระดาษและอ่านเป็นเหมือนบทพูด
เพราะถ้าไม่มีเหตุผลที่ตัวละครจะพูดออกมา ก็ไม่มีเหตุผลที่เขาจะร้องมันเป็นเพลง”
บางทีนั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมการแสดงของเขาในหนังที่มีแต่ฉากร้องเพลงล้วนๆ
จึงลื่นไหลอย่างเป็นธรรมชาติ
วาควิน ฟีนิกซ์ (The Master)
หลังจากการแปลงโฉมสุดอื้อฉาว
(เพิ่มน้ำหนัก ไว้หนวดเคราเฟิ้ม และสร้างวีรกรรมสติแตกกลางที่สาธารณะ)
เพื่อโปรโมตหนังสารคดีเรื่อง I’m Still Here ซึ่ง
วาควิน ฟีนิกซ์ ยอมรับว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในอาชีพนักแสดงของเขา
และช่วยขยายโลกทัศน์ของเขาต่อเทคนิคการแสดง นักแสดงหนุ่มวัย 37
ปีก็ห่างหายจากวงการไปนานเกือบสองปี ความพยายามจะเปลี่ยนแปลงตัวเองทำให้ฟีนิกซ์ตัดสินใจปฏิเสธบทหนังหลายเรื่อง
จนกระทั่งได้รู้จักกับตัวละครอย่าง เฟร็ดดี้ เควล
อดีตนายทหารจากช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในหนังเรื่อง The Master ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกร่ำลือว่าเล่าถึงชีวิตช่วงต้นๆ ของ แอล. รอน ฮับบาร์ด
ผู้ก่อตั้งลัทธิ Scientology แต่การณ์กลับปรากฏว่านั่นเป็นเพียงฉากหลังจางๆ
ให้กับประเด็นการสำรวจสัญชาตญาณความเป็นสัตว์ของมนุษย์
ตลอดจนอารยธรรมและความล้มเหลวของมัน
ผ่านความสัมพันธ์ระหว่างคนจิตหลุดอย่างเฟร็ดดี้กับผู้นำลัทธิ แลนแคสเตอร์ ด็อดด์ (รับบทโดย ฟิลิป ซีมัวร์ ฮอฟฟ์แมน)
ผู้กำกับ พอล โธมัส
แอนเดอร์สัน เขียนบทด็อดด์ให้กับฮอฟฟ์แมน นักแสดงขาประจำของเขา โดยเฉพาะ และตระหนักชัดตั้งแต่แรกว่าจำเป็นต้องหานักแสดงฝีมือทัดเทียมกันมารับบทคู่ปรับ/ลูกศิษย์/คนรัก? ของด็อดด์อย่างเฟร็ดดี้
โอกาสที่จะได้ร่วมงานกับฟีนิกซ์ทำให้ทั้งแอนเดอร์สันและนักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์จาก
Capote รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก “วาควินทำให้ผมขนหัวลุก...
ในความหมายที่ดีนะ” ฮอฟฟ์แมนกล่าว
ทักษะการแสดงของฟีนิกซ์เป็นที่ยอมรับตั้งแต่อายุ
21 เมื่อเขากลายเป็นดาราในชั่วข้ามคืนจากหนังเรื่อง To Die For และก้าวพ้นเงื้อมเงาของพี่ชาย ริเวอร์ ฟีนิกซ์ อย่างเต็มตัว ต่อจากนั้นเขาก็เริ่มต้นสร้างชื่อเสียงในฐานะนักแสดงที่จริงจังและดุดันที่สุดคนหนึ่งของฮอลลีวู้ดอย่างไม่หยุดยั้ง
โดยมีหลักฐานพิสูจน์ คือ การถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์สองครั้งจากบทวายร้ายใน Gladiator
และบทนักร้องชื่อดัง จอห์นนี่ แคช ใน Walk the Line แต่เครดิตทั้งหลายเหล่านั้นไม่อาจเตรียมใจใครให้พร้อมรับมือกับงานแสดงอันรุนแรงของเขาใน
The Master “ผมรู้ว่าเขาเป็นนักแสดงชั้นยอด
แต่ผมไม่คาดคิดมาก่อนว่าเขาจะทำได้ขนาดนี้” แอนเดอร์สันกล่าว
“ระดับความคิดสร้างสรรค์และพลังงานที่ไหลทะลักมาจากตัวเขาทำเอาผมตั้งตัวไม่ทัน
รวมไปถึงวินัยในการทำงานของเขาด้วย”
ตั้งแต่ก่อนเปิดกล้อง
ฟีนิกซ์บอกกับแอนเดอร์สันว่าเขาจะไม่ยั้งมือในทุกทิศทาง
เขาอยากตีแผ่แง่มุมแห่งสัญชาตญาณเบื้องลึก และบทเรียนจาก I’m Still There เป็นแรงบันดาลใจให้เขากล้าจะทดลอง โดยระหว่างถ่ายทำเขาจะพยายามตีความบทพูด
ตลอดจนสถานการณ์ในแต่ละฉากแตกต่างกันออกไปหลายรูปแบบ
บางครั้งถึงขั้นลงมือทำในสิ่งที่คนอาจมองว่าไร้สาระ ดูงี่เง่า ไม่เป็นเหตุเป็นผล
หรือกระทั่งหลุดจากบุคลิกของตัวละคร แอนเดอร์สันบอกว่าฟีนิกซ์ “สวมวิญญาณตัวละคร” ตลอดการถ่ายทำ ซึ่งเป็นคำนิยามที่นักแสดงหนุ่มไม่ค่อยชอบเท่าไหร่
แต่เขาก็ยอมรับว่าการรักษาระดับความเข้มข้นทางอารมณ์ของตัวละครเอาไว้ตลอดถือเป็นสิ่งสำคัญ
“เฟร็ดดี้เป็นคนสุดโต่ง” เขากล่าว
“ผมไม่สามารถปล่อยร่างกายให้ผ่อนคลาย จากนั้นก็บิวท์ตัวเองให้กลับไปอยู่ในระดับอารมณ์แบบเดิม”
การแสดงโดยอาศัยสัญชาตญาณมักจะส่งผลให้เทคแรกเป็นเทคที่ยอดเยี่ยมที่สุด
ส่งผลให้แอนเดอร์สันต้องเตรียมพร้อมเสมอเพื่อให้เทคแรกสมบูรณ์แบบในแง่รายละเอียดอื่นๆ
รอบข้าง และบางครั้งความพยายามจะถ่ายทอดจิตใต้สำนึกของเฟร็ดดี้ทำให้ฟีนิกซ์ปล่อยใจไปกับสถานการณ์อย่างลืมตัวจนเล่นนอกเหนือจากบท
เช่น ในฉากที่เฟร็ดดี้อาละวาดพังข้าวของในห้องขังและกระแทกศีรษะกับเตียง
ฟีนิกซ์บอกว่าเขาได้แรงบันดาลใจจากวิดีโอบันทึกพฤติกรรมของสัตว์ป่าที่ถูกกักขังอยู่ในกรง
“คุณจะเห็นว่าสมองของพวกมันดูเหมือนจะไม่ทำงานอีกต่อไป”
เขากล่าว “มันเป็นปฏิกิริยาตอบโต้แบบเฉียบพลันผ่านทางกล้ามเนื้อ
พวกมันทำตัวเองเจ็บ แต่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ราวกับมีบางอย่างในหัวคอยย้ำเตือนซ้ำไปซ้ำมาว่า
ต้องออกไปจากที่นี่ ต้องออกไปจากที่นี่” แอนเดอร์สันชื่นชอบการด้นสดดังกล่าว
ตัดสินใจเลือกใช้เทคดังกล่าว และผลลัพธ์สำหรับคนดู คือ หนึ่งในฉากทรงพลัง
และน่าจดจำที่สุดของหนัง
เดนเซล วอชิงตัน (Flight)
ศิลปะการแสดงเป็นเรื่องชวนพิศวง
กระทั่งเหล่านักแสดงชื่อดัง หรือบรรดาเพื่อนร่วมงานที่ชื่นชมการแสดงของพวกเขาเหล่านั้น
ก็ไม่อาจอธิบายได้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงทำอย่างที่เห็นบนจอ เมื่อคุณได้ชมการแสดงของ
เดนเซล วอชิงตัน ใน Flight คุณจะรู้สึกอยากทราบข้อมูลในเบื้องลึก
เพื่อทำความเข้าใจว่าความอัศจรรย์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร
และทำไมมันถึงสามารถทรงพลังอยู่ได้นานกว่า 2 ชม. ตรึงคุณให้ไม่อาจละสายตาจากจอได้
แต่ต่อให้คุณถามเจ้าตัวเอง บางครั้งเขาก็ไม่สามารถเล่าขั้นตอนให้ชัดเจนได้ อย่างดีที่สุดก็แค่พยายามพูดแบบกว้างๆ
โดยใช้การเปรียบเทียบ หรือสัญลักษณ์ จอห์น กู๊ดแมน หนึ่งในทีมนักแสดงของหนังเรื่อง
Flight กล่าวว่าวอชิงตันเตรียมทำการบ้านมาดี
แต่การเตรียมตัวต้องลงทุนถึงขั้นไหน ในเมื่อช่วงต้นเรื่อง คนดูจะเห็นวอชิงตันสะลึมสะลือลุกจากเตียงขึ้นมาดวดเบียร์และสูดโคเคนก่อนจะออกไปทำงานขับเครื่องบินโดยสาร
สำหรับกู๊ดแมน หนึ่งในการบ้านที่เขาหมายถึงคงเป็นการใช้เวลาหลายชั่วโมงกับเครื่องจำลองการบิน
เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับฉากนำเครื่องลงจอดฉุกเฉินในช่วงต้นเรื่อง
“คุณจำเป็นต้องรู้สึกคุ้นเคยกับห้องคนขับ
ต้องรู้ว่ากิจวัตรประกอบไปด้วยอะไรบ้าง” วอชิงตันอธิบายสาเหตุ
“ทุกรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ จะช่วยสร้างความรู้สึกสมจริงให้กับคนดู
นักบินคนหนึ่งที่ผมร่วมงานด้วยยอมให้ผมยืมกระเป๋ามาใช้ ผมเลยถือกระเป๋าเก่าๆ
ใบนั้นเข้าฉากด้วย”
แต่การเตรียมตัวดังกล่าวคงไม่สามารถใช้อธิบายได้ว่า
เหตุใดเขาจึงทำให้คนดูตระหนักได้อย่างชัดเจนถึงความไม่พร้อมทางด้านร่างกายของ วิป
วิทล็อก พร้อมๆ กับความเชื่อมั่นว่าทักษะอันเป็นเลิศ ความเป็นมืออาชีพ และประสบการณ์ที่เชี่ยวกรากจะช่วยให้เขานำเครื่องลงจอดได้อย่างปลอดภัยในที่สุด
กล่าวคือ เขาต้องแสดงทั้งอารมณ์มั่นใจว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องพยายามจะควบคุมสติตัวเอง
ซึ่งแน่นอนถูกลดทอนศักยภาพลงจากภาวะมึนเมาด้วยเหล้าและยาเสพติด ผู้กำกับ นอร์แมน
จีวินสัน ซึ่งเป็นคนมอบบทเด่นบทแรกให้วอชิงตันจากหนังเรื่อง A Soldier’s
Story และบทที่ทำให้เขาถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมเป็นครั้งที่
2 จากหนังเรื่อง The Hurricane เล่าว่า “เดนเซลเป็นนักแสดงที่มีสมาธิสุดยอด และช่างวิเคราะห์ ตอนถ่ายหนังเรื่อง A
Soldier’s Story ผมเห็นชัดว่าเขาสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างนักแสดงกับกล้อง
เขารับบทนี้ในเวอร์ชั่นละครเวที และเมื่อถ่ายเวอร์ชั่นหนังไปได้สักพัก
ผมก็เห็นเขาเริ่มทอนการแสดงลงระดับหนึ่ง เพื่อให้ดูลุ่มลึกและไม่โอเวอร์มากไป”
ตอนยังเป็นเด็ก อาชีพนักแสดงไม่เคยอยู่ในหัวของวอชิงตันเลย
และเมื่อตัดสินใจเบนเข็มสู่วงการมายา ละครเวที คือ เป้าหมายสูงสุดของเขา
หาใช่ฮอลลีวู้ด ตอนได้แสดงหนังโทรทัศน์เป็นครั้งแรก (เรื่อง Wilma ในปี 1977) เขารู้สึกประหม่ามาก “พอกล้องเคลื่อนเข้ามาใกล้
ผมก็จะเริ่มถอยหลังเพื่อหลบออกไปให้พ้นทาง ผมไม่คุ้นชินกล้องและการมีกลุ่มคนมาห้อมล้อมในระยะใกล้
แต่สุดท้ายผมก็ก้าวผ่านความกลัวนั้นมาได้” ไม่เพียงเลิกประหม่าต่อหน้ากล้องเท่านั้น
ตลอดหนึ่งทศวรรษต่อมา เขายังกลายเป็นนักแสดงระดับแนวหน้าที่ทุกคนนับถือในฝีมืออีกด้วย
และสองรางวัลออสการ์จาก Glory และ Training Day น่าจะเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่าเขาก้าวมาไกลจากจุดเริ่มต้นมากแค่ไหน
เดเนียล เดย์-ลูว์อิสต์ (Lincoln)
ไม่มีใครคาดคิดว่า
อับราฮัม ลินคอล์น ประธานาธิบดีที่คนรู้จักมากที่สุดของอเมริกา และถูกนำมาสร้างสรรค์ให้กลายเป็นตัวละครบนจอภาพยนตร์บ่อยครั้งชนิดนับไม่ถ้วน
ล่าสุดในหนังแอ็กชั่นทุนสูงอย่าง Abraham Lincoln: Vampire Hunter จะถูกตีความได้อย่างลุ่มลึก สมจริง และละเอียดลออสูงสุดโดยนักแสดงที่เติบโตมาในประเทศอังกฤษและไอร์แลนด์
แต่ในเวลาเดียวกันมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกสักเท่าไหร่
เนื่องจากเขาผู้นั้นได้รับการยกย่องในฐานะนักแสดงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งแห่งยุค
เดเนียล เดย์-ลูว์อิสต์
เคยคว้ารางวัลออสการ์นักแสดงนำชายมาแล้ว 2 ครั้งจาก My Left Foot และ There Will Be Blood ตัวที่ 3
อาจมาถึงเร็วกว่าที่คิดจากผลงานแสดงอันอ่อนโยน เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณในหนังเรื่อง Lincoln ของ สตีเวน สปีลเบิร์ก
ลินคอล์นของเดย์-ลูว์อิสต์ไม่ได้ดูเหมือนซอมบี้แบบใน Abraham
Lincoln หรือมุ่งมั่น ฝีปากกล้าเหมือนใน Young Mr. Lincoln รูปร่างสูงชะลูด ผ่ายผอม และคอยาว ทำให้เดย์-ลูว์อิสต์ดูใกล้เคียงกับลินคอล์นตัวจริงมากกว่าในเวอร์ชั่นอื่นๆ
เขาไม่ต้องสวมรองเท้าส้นตึกเพื่อยืดตัวให้สูงขึ้นเหมือน คริส คริสตอฟเฟอร์สัน
ในหนังทีวีเรื่อง Tad แต่ทันทีที่เดย์-ลูว์อิสต์อ้าปากพูด
คนดูอาจรู้สึกตกใจเล็กน้อย เพราะเสียงของเขาไม่ได้ทุ้มนุ่มเหมือนภาพลักษณ์ลินคอล์นที่ผ่านๆ
มา (และที่เราทุกคนคุ้นเคยกันดี)
แต่กลับค่อนข้างแหลมสูง เจือไปด้วยความกระตือรือร้น
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ในยุคหลังๆ
ระบุว่าลินคอล์นตัวจริงมีเสียงค่อนข้างสูง และในความรู้สึกส่วนตัวของเดย์-ลูว์อิสต์
เขาเชื่อว่าเสียงที่สูงขึ้นจะดูน่าฟังและดึงดูดใจกว่าเวลาต้องพูดต่อหน้ากลุ่มคนกลุ่มใหญ่
“ข้อมูลหลักฐานดูเหมือนจะผกผันไม่แน่ชัด
ไม่มีใครสามารถระบุได้อย่างมั่นใจว่าเสียงของลินคอล์นควรเป็นอย่างไร
ซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องโชคดีสำหรับผม” นักแสดงวัย 55 ปีกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ผมคิดว่าการค้นพบเสียงของลินคอล์นคือจุดเริ่มต้นที่สำคัญสุด”
และแน่นอน ด้วยความเป็นนักแสดงสายเมธ็อด เดย์-ลูว์อิสต์ยืนกรานที่จะพูดจาด้วยเสียงนั้นตลอดเวลาระหว่างถ่ายทำ
นอกจากนี้ นักแสดงชาวอังกฤษและทีมงานคนอื่นๆ ก็ได้รับคำขอร้องไม่ให้พูดคุยกับเขาด้วยสำเนียงอังกฤษอีกด้วย
คนเขียนบท โทนี คุชเนอร์ เล่าถึงวันที่เขาแวะไปเยี่ยมกองถ่ายและมีโอกาสได้เห็นการถ่ายทำฉากลินคอล์นพูดต่อหน้าคณะรัฐมนตรีถึงความสำคัญของการประกาศกฎหมายเลิกทาสว่า
“ทุกคนถึงกับอ้าปากค้าง มันเป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ผมเคยพบเห็นมา
การจะสวมบทบาทตัวละครได้แบบนั้น คุณจำเป็นต้องหลุดเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ และดำรงรักษาสมาธิเอาไว้อย่างเหนียวแน่น”
เดย์-ลูว์อิสต์เป็นนักแสดงที่ขึ้นชื่อเรื่องการเลือกบท บางครั้งเขาจะทิ้งช่วงจากแวดวงมายาไปหลายปี
และปลีกตัวไปใช้ชีวิตอยู่กับภรรยา รีเบคกา มิลเลอร์ ลูกสาวของ อาร์เธอร์ มิลเลอร์ (ทั้งสองพบรักกันระหว่างการถ่ายทำหนังเรื่อง The Crucible) และลูกชายทั้งสองคน (เดย์-ลูว์อิสต์มีลูกชายอีกคนกับนักแสดงชาวฝรั่งเศส
อิสซาเบลล์ แอดจานี) จนดูเหมือนเขาตัดสินใจเกษียณตัวเองจากการแสดง
แล้วหันไปประกอบอาชีพเป็นช่างซ่อมรองเท้า (The
Boxer และ Gangs of New York ทิ้งช่วงห่างกัน
5 ปีเต็ม) นอกจากนี้ สิ่งที่เขาขึ้นชื่อไม่แพ้กัน คือ
ขั้นตอนการ “ทำงาน” ของเขา เช่น
ระหว่างถ่ายทำ The Last of the Mohigans เขาสอนตัวเองให้รู้จักสร้างเรือแคนู
ดักจับและถลกหนังสัตว์ป่า ในระหว่างถ่ายทำ My Left Foot เขาฝึกตัวเองให้สามารถเปิดแผ่นเสียงได้โดยใช้นิ้วเท้า
เลือกจะนั่งอยู่ในรถเข็นระหว่างเทค และขอให้ทีมงานช่วยป้อนข้าวให้
ในระหว่างการถ่ายทำ The Boxer เขาเรียนรู้วิธีชกมวยแบบมืออาชีพจนกระทั่งจมูกหัก
และได้รับบาดเจ็บที่หลัง
การพูดคุยถึงหนังชีวประวัติลินคอล์นระหว่างสปีลเบิร์กกับเดย์-ลูว์อิสต์เริ่มต้นขึ้นในปี
2003 แรกทีเดียวฝ่ายหลังตอบปฏิเสธไม่ยอมรับเล่นบทนี้เพราะเขาไม่ชอบบทร่างแรก
จนกระทั่งฝ่ายแรกนำเสนอบทร่างใหม่จากฝีมือการเขียนของคุชเนอร์ ซึ่งโฟกัสไปยังช่วง
4 เดือนสุดท้ายของลินคอล์น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกกฎหมายเลิกทาส แต่กระนั้นเดย์-ลูว์อิสต์ก็ยังไม่ค่อยมั่นใจ “ผมคิดว่ามันเป็นบทที่ดี...
แต่สำหรับนักแสดงคนอื่น” เขากล่าว ความไม่แน่ใจยังคงวนเวียนอยู่
แม้กระทั่งเมื่อเขาตอบตกลงรับเล่นแล้วก็ตาม ก่อนจะค่อยๆ จางหายไปเมื่อเขาเริ่มต้นค้นคว้าหาข้อมูลด้วยการอ่านหนังสือ
นั่งศึกษาภาพถ่ายของลินคอล์น และนั่งครุ่นคิดถึงตัวละครเป็นเวลานานนับปี
ตอนนั้นเองที่เขาถูกดึงดูดให้เข้าไปอยู่ในโลกของลินคอล์น เข้าใจความคิด ความรู้สึก
ความไม่แน่ใจ ตลอดจนสภาพการณ์รอบข้างตัวละคร และถ่ายทอดพวกมันออกมาบนจอภาพยนตร์ได้อย่างงดงาม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น