วันพุธ, มีนาคม 13, 2556

Oscar 2013: ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน


ทันทีที่การประกาศรายชื่อผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์เสร็จสิ้นลง หัวข้อสนทนาส่วนใหญ่วนเวียนอยู่กับผู้ ไม่ได้เข้าชิงเกือบจะมากพอๆ กับผู้เข้าชิงเลยทีเดียว โดยสาขาที่สร้างเสียงฮือฮาได้สูงสุดคงหนีไม่พ้นสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม ซึ่งทำ ตัวเก็งหล่นหายไปถึง 2 คน นั่นคือ เบน อัฟเฟล็ค (Argo) และ แคธรีน บิเกโลว์ (Zero Dark Thirty) เนื่องจากพวกเขาเป็นสองคนที่กวาดรางวัลนักวิจารณ์มาครองมากสุด ได้เข้าชิง DGA และถูกคาดหมายจากบรรดากูรูให้อยู่ในกลุ่ม นอนมาเช่นเดียวกับ สตีเวน สปีลเบิร์ก แต่เหตุไฉนสุดท้ายถึงได้ตกสำรวจชนิดหักปากกาเซียนเยี่ยงนี้?!

เหตุการณ์ดังกล่าวช่วยตอกย้ำข้อเท็จจริงที่ว่านักวิจารณ์แทบไม่มีอิทธิพลใดๆ ต่อการโหวตของกรรมการออสการ์ กระนั้น ก็มีหลายเหตุผลที่สามารถอธิบายความผิดปกติของสาขานี้ได้เช่นกัน หนึ่ง คือ นี่เป็นปีแรกที่การประกาศรายชื่อผู้เข้าชิงถูกเลื่อนให้เร็วขึ้นเกือบ 10 วัน และกรรมการต้องส่งคะแนนโหวตก่อนรายชื่อผู้เข้าชิงของ DGA จะถูกประกาศอย่างเป็นทางการ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องคลำหาตัวเลือกที่ชอบกันเองตามลำพังโดยปราศจากการชี้นำใดๆ สอง คือ ปีนี้เป็นปีแรกที่มีการเปิดให้ส่งผลคะแนนออนไลน์ แต่เนื่องจากระบบยังไม่เสถียรและเกิดความผิดพลาดมากมาย กรรมการหลายคนจึงส่งผลคะแนนไม่ทัน บ้างก็ยกธงยอมแพ้ต่อความยุ่งยาก สับสน ทั้งสองปัจจัยนี้อาจส่งผลให้เกิดการพลิกล็อกชนิดไม่คาดฝัน เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าออสการ์ปีนี้มีการแข่งขันค่อนข้างสูง

กรณีของ แคธลีน บิเกโลว์ อาจมีเหตุผลเสริมมาช่วยดับฝันอยู่มากพอควร ไม่ว่าจะเป็นสารพันข่าวอื้อฉาวเกี่ยวกับฉากทรมาน หรือข้อเท็จจริงที่ว่าเธอ เพิ่งได้รางวัลออสการ์มาครองจากหนังซึ่งคล้ายคลึงกัน แต่กรณีของ เบน อัฟเฟล็ค นั้นอาจจะเรียกได้ว่ามืดแปดด้าน เนื่องจาก Argo เป็นที่ชื่นชอบของคนจำนวนมาก (ทำเงินเกินร้อยล้าน) กวาดคำชมจากนักวิจารณ์ และตัวอัฟเฟล็คเองก็สั่งสมฝีมือ/ผลงานซึ่งเป็นที่ยอมรับมาระยะหนึ่งแล้ว ไม่ใช่ผู้กำกับใหม่ถอดด้ามเหมือน โรเบิร์ต เรดฟอร์ด (Ordinary People) หรือ เควิน คอสเนอร์ (Dances with Wolves) ด้วยซ้ำ

การหลุดโผอย่างไม่คาดฝันของอัฟเฟล็คถึงกับทำให้บางคนเสนอให้นำการโหวตแบบเขียนชื่อบนใบลงคะแนนมาใช้ ซึ่งเปิดโอกาสให้กรรมการสามารถโหวตให้คนที่ไม่มีรายชื่อเข้าชิงได้ กฎดังกล่าวเคยนำมาใช้ในปี 1935 หลังหลายคนไม่พอใจที่ เบ็ตตี้ เดวิส จากหนังเรื่อง Of Human Bondage หลุดโผผู้เข้าชิง (ในยุคนั้นมีการประกาศคะแนนรวม ซึ่งผลปรากฏว่าเดวิสได้คะแนนเป็นอันดับสาม) ก่อนจะถูกแบนในปีถัดมา หลังจากผู้กำกับภาพ ฮาล มอร์ คว้ารางวัลออสการ์มาครองจาก A Midsummer Night’s Dream แม้เขาจะไม่มีชื่อเป็นผู้เข้าชิงก็ตาม ต่อมาการเขียนชื่อบนใบลงคะแนนก็ถูกนำมาใช้เป็นกลยุทธ์อยู่เรื่อยๆ เช่น เมื่อหนังสารคดีเรื่อง Roger and Me ของ ไมเคิล มัวร์ ไม่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงสารคดียอดเยี่ยมในปี 1990 นักทำหนัง 48 คนขู่ว่าจะลงคะแนนให้หนังเรื่องนี้ แต่การประท้วงดังกล่าวไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด... และครั้งนี้ก็คงลงเอยเช่นกัน

บางทีคำอธิบายง่ายๆ อาจเป็นแค่ คณะกรรมการไม่เห็นว่าผลงานกำกับของอัฟเฟล็คและบิเกโลว์คู่ควรพอจะได้เข้าชิง หรือพวกเขาอาจจะเอียน หรือไม่พร้อมรับหนังเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างอเมริกากับประเทศในตะวันออกกลาง แล้วโหยหาความอบอุ่น ฟีลกู๊ดแบบ Silver Linings Playbook มากกว่า อย่าลืมว่าเซอร์ไพรซ์แบบนี้เกิดขึ้นแทบทุกปี และนี่ก็คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอน มันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของรางวัลออสการ์

ที่สำคัญ คนที่พูดกันว่า มาแทนที่สองตัวเก็งนั้นหาใช่ขี้หมูขี้หมา และหนังของพวกเขาก็ได้เสียงชื่นชมไม่แพ้กัน หรืออาจมากกว่าด้วยซ้ำโดยเฉพาะในกรณีของ ไมเคิล ฮาเนเก้ (Amour) พูดง่ายๆ คือ ใช่ว่ากรรมการจะเชิดใส่ Argo แล้วหันไปเลือกหนังอย่าง The Blind Side หรือ Extremely Loud and Incredibly Close แทนเสียเมื่อไหร่ แน่นอนผู้กำกับหน้าใหม่อย่าง เบน ไซท์ลิน (Beasts of the Southern Wild) อาจไม่โด่งดังเท่า เบน อัฟเฟล็ค แต่หนังของเขาก็ได้รับคำสรรเสริญไม่น้อยไปกว่า Argo และในหลายๆ กรณี มันเป็นเสียงชื่นชมผสมผสานความรักอย่างหมดใจเข้าไปด้วย ซึ่งนั่นถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการลงคะแนนแบบเรียงลำดับ

มองในแง่ภาพรวมแล้วต้องยอมรับว่ารายชื่อผู้เข้าชิงในปีนี้ค่อนข้างสวยงาม ไร้ข้อครหารุนแรง เซอร์ไพรซ์บางกรณีก็ใช่ว่าจะชวนช็อกแต่อย่างใด เช่น แจ๊คกี้ วีเวอร์ ในสาขาสมทบหญิงยอดเยี่ยม ทั้งนี้เพราะเห็นได้ชัดว่ากรรมการชื่นชอบ Silver Linings Playbook มากแค่ไหน และเธอเองก็มีเครดิตเคยเข้าชิงมาก่อน (จากหนังเรื่อง Animal Kingdom) ส่วนการเข้าชิงสูงสุดของ Lincoln ก็เป็นไปตามคาด อันที่จริง น่าสังเกตว่ามันเป็นจำนวนการเข้าชิงเท่ากับ Schindler’s List เลย แถมเกือบจะลอกตามกันเป๊ะในทุกสาขา สลับกันแค่ Schindler’s List ได้เข้าชิงสาขาแต่งหน้ายอดเยี่ยม ส่วน Lincoln ได้เข้าชิงสาขาสมทบหญิงยอดเยี่ยม (การหลุดโผรางวัลแต่งหน้าของ Lincoln ถือเป็นเซอร์ไพรซ์เล็กๆ เช่นกัน) จากนี้ไปคงต้องมาลุ้นกันต่อว่า Lincoln จะสามารถคว้ารางวัลมาครองได้มากเท่า Schindler’s List หรือไม่

ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

การพลาดเข้าชิงของ เบน อัฟเฟล็ค และ แคธรีน บิเกโลว์ ส่งผลให้โอกาสคว้ารางวัลใหญ่ของ Argo และ Zero Dark Thirty ลดฮวบลงทันที ขณะเดียวกันในบรรดาหนัง 5 เรื่องที่ผู้กำกับได้เข้าชิง คงไม่ผิดนักหากจะบอกว่า Amour กับ Beasts of the Southern Wild เป็นม้านอกสายตา และการที่หนังได้เข้าชิงรางวัลสำคัญๆ มากขนาดนี้ถือเป็นความสำเร็จในตัวเองแล้ว เช่นเดียวกับ Tree of Life เมื่อปีก่อน

ถึงแม้จะได้เข้าชิงออสการ์มากถึง 11 สาขา (ทั้งหมดไม่มีสาขาการแสดงเลย) แต่จุดอ่อนจริงๆ ที่ทำให้ Life of Pi ตกอยู่ในภาวะเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัดกลับเป็นการที่หนังพลาดเข้าชิงรางวัล SAG สาขานักแสดงกลุ่มยอดเยี่ยม (ซึ่งเปรียบได้กับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม) และดังที่เราทราบกันดีว่านักแสดงถือเป็นกรรมการออสการ์กลุ่มใหญ่สุด การพลาดเข้าชิงในสาขานี้ถือเป็นสัญญาณว่าหนังอาจไม่เป็นที่ชื่นชอบของนักแสดงมากนัก เรื่องสุดท้ายที่คว้าออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมมาครองโดยไม่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงสาขานักแสดงกลุ่มยอดเยี่ยมบนเวที SAG คือ Braveheart เมื่อปี 1995

จริงอยู่หนังที่นักแสดงในเรื่องไม่ได้เข้าชิงออสการ์เลยยังสามารถคว้ารางวัลใหญ่มาครองได้ ตัวอย่างเช่น Slumdog Millionaire และ The Return of the King แต่พึงสังเกตว่าทั้งสองเรื่องไม่เพียงเข้าชิงสาขานักแสดงกลุ่มบนเวที SAG เท่านั้น แต่ยังถึงขั้นคว้ารางวัลมาครอง (แน่นอน มองในแง่ความเป็นไปได้ มันอาจไม่ค่อยสมเหตุสมผลนัก หากภาพยนตร์ที่เล่าถึงเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างเด็กชายกับเสือคอมพิวเตอร์กราฟฟิกบนเรือกลางทะเลจะได้เข้าชิงสาขา นักแสดงกลุ่ม”) ด้วยเหตุนี้ ชะตากรรมของ Life of Pi บนเวทีออสการ์คงลงเอยในลักษณะเดียวกับ Hugo เมื่อปีก่อน ซึ่งถูก SAG มองข้ามเช่นกัน นั่นคือ คว้ารางวัลย่อยๆ ในสาขาเทคนิคอย่างกำกับภาพ เทคนิคพิเศษด้านภาพ หรือออกแบบงานสร้างมาครอง แต่ไม่สามารถไต่เต้าไปถึงรางวัลสูงสุดได้

เมื่อมองตามสถิติแล้วรางวัลใหญ่บนเวทีออสการ์น่าจะเป็นการขับเคี่ยวกันระหว่าง Lincoln กับ Silver Linings Playbook หรือพูดง่ายๆ เป็นภาคต่อของมหาสงครามระหว่าง Saving Private Ryan กับ Shakespeare in Love กล่าวคือ เรื่องหนึ่งเป็นหนังที่ทุกคนชื่นชมยกย่อง แต่ค่อนข้างเป็นกลางในเชิง อารมณ์ร่วม ส่วนอีกเรื่องเป็นหนังที่ทุกคน หลงรักและในภาคก่อนหน้าอิทธิพลแห่งรักนี่เองที่กลายเป็นเหตุผลสำคัญให้ ฮาร์วีย์ ไวน์สตีน เบียด สตีเวน สปีลเบิร์ก ได้สำเร็จในโค้งสุดท้าย ในภาคล่าสุด ข้อแตกต่างสำคัญอยู่ตรงที่ Silver Linings Playbook ของไวน์สตีนไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจากเหล่าช่างเทคนิคมากเท่า แม้รางวัลด้านเทคนิคสาขาเดียวที่หนังได้เข้าชิงจะเป็นสาขาสำคัญ ซึ่งเกี่ยวโยงถึงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอย่างแยกไม่ออก (ดูกรณีตัวอย่างจาก Brokeback Mountain vs. Crash) นั่นคือ ลำดับภาพยอดเยี่ยมก็ตาม ในขณะที่ Shakespeare in Love ได้เข้าชิงมากถึง 13 รางวัล สูงสุดประจำปีนั้น นอกจากนี้ ความที่หนังเกี่ยวโยงไปถึงเชคสเปียร์ก็ช่วยเพิ่ม น้ำหนักให้เรื่องราวเบาสบายสไตล์ตลกโรแมนติกได้ไม่น้อย เช่นเดียวกับการถ่ายทำแบบหนังเงียบและฉากหลังในยุคเปลี่ยนผ่านของ The Artist ซึ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ Silver Linings Playbook ขาดแคลน คำถามสำคัญที่ตามมา คือ กรรมการออสการ์ตกหลุมรัก Silver Linings Playbook มากพอๆ กับที่พวกเขาเคยหลงรักหนังตลกโรแมนติกร่วมสมัยอย่าง Annie Hall เมื่อ 35 ปีก่อนหรือไม่

ในช่วงเวลาอีกเกือบ 1 เดือนก่อนการประกาศผล กระแสลมอาจเปลี่ยนทิศทางได้เสมอ และความแปรปรวนที่เกิดขึ้นมาตลอดทางดูเหมือนจะรับประกันได้ว่านี่อาจเป็นปีที่อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้บนเวทีออสการ์ โดยในเวลานี้ Lincoln อาจถือแต้มต่อหนังเรื่องอื่นๆ อยู่เล็กน้อย ตามมาติดๆ ด้วย Silver Linings Playbook และ Argo (ชัยชนะบนเวทีลูกโลกทองคำและ Critics’ Choice Award ทำให้มันเริ่มแข็งแกร่งขึ้นตามลำดับ)

เกร็ดสนุกๆ ที่น่าสังเกต คือ ทุกปีที่ อังลี ได้เข้าชิงออสการ์ รางวัลหนังและผู้กำกับจะไม่ตรงกัน โดยปีแรกที่เขาเข้าชิงจาก Crouching Tiger, Hidden Dragon หนังตกเป็นของ Gladiator แต่ สตีเวน โซเดอร์เบิร์ก (Traffic) ได้รางวัลผู้กำกับ จากนั้นในปีที่อังลีคว้ารางวัลผู้กำกับมาครองจาก Brokeback Mountain หนังเรื่อง Crash กลับได้รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (กระนั้นกลุ่มกองเชียร์ Argo อย่าเพิ่งดีใจไป เพราะในสองปีนั้น ทั้ง ริดลีย์ สก็อตต์ และ พอล แฮ็กกิส ล้วนได้เข้าชิงในสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม) ... ถ้าปีนี้ประวัติศาสตร์เกิดซ้ำรอยขึ้นมาอีก เราจะขนานนามมันว่า อาถรรพ์อังลี

ผู้กำกับยอดเยี่ยม

ถ้าคู่แข่งแต่ละเรื่องในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเรียกได้ว่ากินกันแทบไม่ลงแล้ว สาขานี้ยิ่งสูสีมากขึ้นไปอีก เพราะผู้นำอย่าง สตีเวน สปีลเบิร์ก มีจุดอ่อนสำคัญตรงเขาเคยได้รางวัลมาแล้ว 2 ครั้ง และอาจกล่าวได้ว่าหนังอย่าง Lincoln ไม่ได้มีจุดเด่นที่งานกำกับมากเท่างานเขียนบทและการแสดง (หลายคนเห็นพ้องต้องกันว่าสปีลเบิร์กยับยั้งตัวเองจากแรงกระตุ้นตามปกติของตนไว้ค่อนข้างมาก ทำให้หนังทั้งเรื่องค่อนข้างเรียบ นิ่ง และพูดกันเยอะกว่าผลงานโด่งดังเรื่องอื่นๆ ของเขา) ซึ่งส่วนหลังแน่นอนว่าต้องยกผลประโยชน์ให้ผู้กำกับด้วย แม้ว่าการเลือกนักแสดงระดับพระกาฬอย่าง เดเนียล เดย์-ลูว์อิสต์, แซลลี ฟิลด์ และ ทอมมี ลี โจนส์ (นับรวมรางวัลออสการ์แล้วเท่ากับ 5 ตัว) มารับบทเด่นก็ถือว่าช่วยลดความเหนื่อยของผู้กำกับลงไปได้เกินครึ่ง

ในทางตรงกันข้าม หนังอย่าง Life of Pi ดูจะเล่นท่ายากกว่า ไม่ว่าจะเป็นความหวือหวาของงานด้านภาพ การถ่ายทำด้วยระบบสามมิติ หรือความเสี่ยงของเรื่องราวซึ่งค่อนข้างเป็นนามธรรม มีตัวละครจำกัด และพล็อตเบาบาง แต่สามารถตรึงความสนใจของผู้ชมได้ แต่น่าเสียดาย อังลีเองก็เคยได้ออสการ์ไปตั้งโชว์อยู่บนชั้นวางแล้วเช่นกัน แถมยังเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมากนักอีกด้วย (7 ปี)

สำหรับสามคนที่เหลือซึ่งล้วนแต่ยังไม่เคยชนะรางวัลออสการ์สาขานี้มาก่อน อาจพูดได้ว่าเราสามารถตัด เบน ไซท์ลิน ออกก่อนเป็นคนแรก เพราะการที่เขาเบียด เบน อัฟเฟล็ค กับ แคธรีน บิเกโลว์ ตกขอบไปได้ก็ถือว่าเหนือความคาดหมายของทุกๆ คนแล้ว ที่สำคัญ หนังของเขาไม่ได้ป็อปปูล่าในระดับใกล้เคียงกับ American Beauty เลยสักนิด (แซม เมนเดส เป็นผู้กำกับคนล่าสุดที่ได้ออสการ์จากการกำกับหนังเรื่องแรก) ดังนั้นโอกาสที่ไซท์ลินพลิกคว่ำเหล่ามืออาชีพคนอื่นๆ จึงถือว่าค่อนข้างริบหรี่
                เดวิด โอ. รัสเซลล์ ต่างกับไซท์ลินตรงที่เขาสร้างหนังดีๆ มาหลายเรื่อง เคยผ่านเวทีออสการ์มาแล้ว (The Fighter) และหนังของเขาก็ที่รักของกรรมการอย่างเห็นได้ชัด ในจุดนี้โอกาสของเขาจึงเกือบจะเรียกได้ว่าเทียบเท่าสปีลเบิร์กเลยด้วยซ้ำ แม้ ชื่อเสียในอดีตของเขาอาจยังคงส่งผลตกค้างแง่ลบอยู่บ้าง (เช่นเดียวกับบุคลิกเย็นชาไม่แคร์สื่อของ เดวิด ฟินเชอร์) อย่างไรก็ตาม คนที่สองตัวเก็งไม่ควรมองข้าม คือ ไมเคิล ฮาเนเก้ ซึ่งสามารถสร้างปรากฏการณ์แบบ โรมัน โปลันสกี้ (The Pianist) ในปีที่ ร็อบ มาร์แชล (Chicago) ขับเคี่ยวอย่างดุเดือดกับ มาร์ติน สกอร์เซซี่ (Gangs of New York) แต่สุดท้ายกลับโดนปาดหน้าเค้กไปชนิดไม่มีใครคาดคิด (และส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นการหาทางออกได้อย่างสวยงามของออสการ์) ปัญหาสำคัญของฮาเนเก้ คือ Amour ไม่ได้อบอุ่น มอบความหวังให้ชีวิตเหมือน The Pianist และเขาไม่ได้สั่งสมชื่อเสียงมานาน (ในแง่การเข้าชิง หรือการยอมรับบนเวทีออสการ์) ในระดับเดียวกับโปลันสกี้

นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม

ถ้าจะมีอะไรที่ใกล้เคียงกับความแน่นอนที่สุดในปีนี้ คงเป็นผลลัพธ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงของสาขานักแสดงนำชาย ซึ่งจะลงเอยแบบเดียวกับคราวล่าสุดที่ เดเนียล เดย์-ลูว์อิสต์ เข้าชิงออสการ์จากหนังเรื่อง There Will Be Blood นั่นคือ กวาดรางวัลแทบทั้งหมดที่มีการแจกมาครองอย่างเป็นเอกฉันท์ โดยตอนนี้เฟสแรก (รางวัลนักวิจารณ์) ผ่านไปแล้วตามคาด ต่อด้วยการคว้ารางวัลลูกโลกทองคำ และคงดำเนินในรูปแบบเดียวกันจนถึงเวที SAG และออสการ์ตามลำดับ ชัยชนะครั้งนี้จะทำให้เขากลายเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่คว้า 3 รางวัลออสการ์มาครองในสาขานักแสดงนำชาย (วอลเตอร์ เบรนแนน ได้ออสการ์ 3 ตัวจากสาขาสมทบชาย ส่วน แจ๊ค นิโคลสัน ได้จากนำชาย 2 ตัว สมทบชาย 1 ตัว)
ขวัญใจนักวิจารณ์อันดับ 2 อย่าง วาคีน ฟีนิกซ์ มีโอกาสล้มยักษ์ได้ เมื่อพิจารณาจากเครดิต (เคยชิงออสการ์ 2 ครั้ง) และคุณภาพงาน แต่การที่ The Master ไม่ได้เสียงสนับสนุนจากคณะกรรมการเท่าที่ควร (พลาดเข้าชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยม) ขณะเดียวกันพฤติกรรมส่วนตัวฟีนิกซ์ของเองก็ค่อนข้าง แปลก” แถมเขายังเคยวิพากษ์ออสการ์อย่างเจ็บแสบมาแล้ว ทำให้โอกาสของเขาที่จะชนะรางวัล ซึ่งผสมความเป็น ป็อปปูล่า โหวต เอาไว้ไม่มากก็น้อยอย่างออสการ์ ถือได้ว่าค่อนข้างริบหรี่ จริงอยู่ เดย์-ลูว์อิสต์อาจไม่ต้องทำแคมเปญ หรือเดินสายออกรายการทีวีเพื่อโปรโมตหนังให้มากมาย และปล่อยให้ผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์ แต่นั่นเป็นเพราะคนส่วนใหญ่เคารพนับถือเขาในฐานะนักแสดงอยู่แล้ว ขณะเดียวกันในแง่บุคลิกส่วนตัว เขาก็ปราศจากภาพลักษณ์ “คุกคามความสงบสุข” แบบฟีนิกซ์
ถึงตอนนี้คนที่มีแววพอจะพลิกล็อกมากสุดไม่ใช่เจ้าของสองรางวัลออสการ์อย่าง เดนเซล วอชิงตัน หากแต่เป็นน้องใหม่อย่าง ฮิวจ์ แจ๊คแมน และ แบรดลีย์ คูเปอร์ โดยคนแรกมีภาษีขึ้นมาเล็กน้อยจากการแซงหน้าคนหลังขึ้นคว้าลูกโลกทองคำ แถมมีเครดิตผลงานที่น่าสนใจ และพิสูจน์ตัวเองในวงการมานานกว่าหนุ่มหล่อที่เพิ่งโด่งดังมาจากหนังฮิตอย่าง The Hangover แต่สำหรับเวทีออสการ์ คูเปอร์อาจได้เปรียบตรงที่ Silver Linings Playbook เป็นที่รักของกรรมการมากกว่า Les Miserables และบทของเขาก็ค่อนข้างลึกกว่า ซับซ้อนกว่าด้วย แต่สุดท้ายเชื่อว่าทั้งสองน่าจะทำใจยอมรับชะตากรรมไว้แล้ว พร้อมเตรียมฝึกซ้อมท่าปรบมือและแสยะยิ้มยินดีต่อหน้ากล้อง เมื่อ เมอรีล สตรีพ นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากปีก่อน เอ่ยชื่อ เดเนียล เดย์-ลูว์อิสต์ ว่าเป็นผู้คว้ารางวัลมาครองจาก Lincoln

นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม

สถานการณ์สามเส้าในสาขานี้เข้มข้น ลุ้นระทึกมากกว่าที่ใครคาดคิด จริงอยู่ เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ผู้ครองตำแหน่งเต็งหนึ่งมาตั้งแต่ช่วงต้นฤดูกาลยังคงแรงดีไม่มีตก และมีโอกาสจะเพิ่มแต้มต่อให้ตัวเองเหนือคู่แข่งสำคัญ เจสซิก้า แชสเทน หากเธอสามารถคว้ารางวัลจากเวที SAG มาได้ หลังจากทั้งสองมีชัยบนเวทีลูกโลกทองคำ คนหนึ่งในสาขาหนังดรามา ส่วนอีกคนในสาขาหนังเพลง/ตลก Mama ที่หลายคนหวั่นใจว่าอาจจะกลายเป็น Norbit ของแชสเทน กลับเป็นแรงสนับสนุนชั้นยอด เมื่อมันทำเงินได้น่าชื่นใจ และคำวิจารณ์โดยรวมก็ถือว่าไม่ขี้เหร่มากนัก
จุดได้เปรียบสำคัญของลอว์เรนซ์อยู่ตรงที่ Silver Linings Playbook แข็งแกร่งในสายตากรรมการกว่า Zero Dark Thirty ซึ่งตอนนี้ หลังจากโดนกระแสแง่ลบจู่โจมรอบด้านจนสะบักสะบอม กลายเป็นเหมือนสินค้ามีตำหนิ ส่วนแต้มต่อสำคัญของแชสเทนอยู่ตรงที่เธอแบกรับหนังทั้งเรื่องไว้บนบ่า ขณะลอว์เรนซ์เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นบทสมทบของ แบรดลีย์ คูเปอร์ อีกทอดหนึ่ง แต่ในเวลาเดียวกัน การที่ มายา ตัวละครเอกใน Zero Dark Thirty ถูกลบรายละเอียดในแง่จิตวิทยาออกจนหมด คนดูไม่มีโอกาสสัมผัสชีวิตส่วนตัวของเธอนอกเหนือจากกรอบการทำงาน ทำให้เธอกลายเป็นตัวละครที่ไม่ค่อยน่าเห็นใจ หรือเป็นที่รักสักเท่าไหร่ ตรงกันข้ามกับตัวละครของลอว์เรนซ์ใน Silver Linings Playbook 
                  กระนั้น อย่าประมาท ยายอยู่ที่อาจโผล่มาคว้าชิ้นปลามันไปครอง นั่นคือ เอ็มมานูเอล ริวา ซึ่งแม้จะไม่ได้เข้าชิงรางวัลสำคัญใดๆ ก่อนหน้า ตั้งแต่ SAG จนถึงลูกโลกทองคำ แต่สามารถกวาดรางวัลนักวิจารณ์มาครองได้จำนวนหนึ่ง และสังเกตจากความแรงของ Amour บนเวทีออสการ์ อาจพูดได้ว่าเธอน่าจะเป็นคู่แข่งที่สองคนข้างต้นไม่อาจมองข้าม อันที่จริง ณ เวลานี้ เธอค่อนข้างถือแต้มต่อเหนือแชสเทนด้วยซ้ำ เมื่อพิจารณาว่ากรรมการหลายคนอาจต้องการสดุดีผลงานในอดีตของเธอพ่วงไปด้วย และนี่คงเป็นโอกาสสุดท้าย เนื่องจาก วัย 85 ปีไม่ใช่วัยที่จะสามารถหาบทดีๆ มาเล่นได้มากมายนัก ขณะที่ลอว์เรนซ์กับแชสเทนย่อมมีโอกาสถูกเสนอชื่อเข้าชิงอีกในอนาคต... อาจจะหลายครั้งด้วยซ้ำ นอกจากนี้บทของริวาใน Amour เรียกร้องความเห็นใจได้มากมาย แถมยังต้องใช้ทักษะทางด้านร่างกายไม่น้อย (และเป็นที่ทราบกันดีว่าออสการ์หลงรักบทคนพิการ หรือคนป่วยมากแค่ไหน)
                  กล่าวโดยสรุป ออสการ์คงอยู่แค่เอื้อมของ เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ (ความสาว ความสวยทำให้เธอสามารถเข้าพวกกับ มาริยง โกติญาร์, นิโคล คิดแมน, ชาร์ลิซ เธรอน, รีส วิทเธอร์สพูน, เคท วินสเล็ท และนาตาลี พอร์ตแมน ได้อย่างกลมกลืน) แต่เธอยังมี เอ็มมานูเอล ริวา ตามจี้มาติดๆ ต่อท้ายด้วย เจสซิก้า แชสเทน

นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม

ตรงกันข้ามกับสาขานักแสดงนำชายซึ่งแทบไม่เหลืออะไรให้ลุ้น สาขานี้เรียกได้ว่ายากเกินกว่าจะคาดเดา สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะทุกคนล้วนเคยได้รางวัลออสการ์มาแล้ว และ 4 ในนั้นก็ได้เข้าชิงจากหนังที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสูงสุด โดยปัจจุบัน คริสตอฟ วอลซ์ ออกจะล้ำหน้าคนอื่นเล็กน้อยหลังชัยชนะบนเวทีลูกโลกทองคำ และปฏิเสธไม่ได้ว่าบทของเขาค่อนข้างเด่น (หลายคนคิดว่าเขาควรได้เครดิตเป็นนำชายร่วมกับ เจมี ฟ็อกซ์ ด้วยซ้ำ) แถมยังพลิกตลบจากบทบาทคราวก่อนที่เข้าชิงออสการ์ชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ กล่าวคือ เขาเล่นเป็น คนดีใน Django Unchained ไม่ใช่ปีศาจร้ายเหมือนใน Inglourious Basterds แต่ในเวลาเดียวกันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เขาเพิ่งได้ออสการ์ไปเมื่อ 3 ปีก่อน จากหนังที่สร้างโดยผู้กำกับคนเดียวกัน นั่นคือ เควนติน ตารันติโน คำถาม คือ ออสการ์อยากจะเดินซ้ำรอยตัวเองมากขนาดนั้นหรือ ในเมื่อคู่แข่งคนอื่นๆ ของเขาล้วนเขี้ยวลากดินแทบทั้งนั้น
เช่นเดียวกับวอลซ์ บทของ ฟิลิป ซีมัวร์ ฮอฟฟ์แมน เรียกได้ว่าเป็นบทนำร่วม ซึ่งถูกลากมาเข้าชิงสาขาสมทบเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าชิง เทียบกับคนอื่นๆ แล้ว เขาดูจะกวาดรางวัลของนักวิจารณ์มาครองมากสุด (แม้ตัวเลขจะทิ้งกันไม่ห่าง) แต่เสียเปรียบตรงที่กรรมการไม่ค่อยปลื้ม The Master เท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม ถ้าออสการ์อยู่ในอารมณ์อยากกระจายโชคลาภให้ทั่วถึง ในบรรดา 3 สาขาที่เข้าชิงของ The Master (สาขาการแสดงทั้งหมด) ฮอฟฟ์แมนถือเป็นคนที่มีโอกาสลุ้นมากสุด แต่คู่แข่งอีกคนที่เขาไม่ควรประมาท คือ ทอมมี ลี โจนส์ ซึ่งหลายคนเห็นพ้องกันว่าเป็นตัวขโมยซีนระดับสุดยอด เขาจุดประกายชีวิตให้กับหนังที่พูดมาก เคร่งขรึมอย่าง Lincoln ขณะเดียวกันออสการ์เมื่อ 10 ปีก่อนจาก The Fugitive ก็ถือว่าทิ้งช่วงนานพอสมควรแล้ว
แต่นั่นก็ยังไม่นานเท่า 32 ปีแห่งการรอคอยของ โรเบิร์ต เดอ นีโร นับแต่ Raging Bull (หลังจากนั้นเขาได้เข้าชิงอีกสองครั้งจาก ​Awakenings และ Cape Fear) อาจกล่าวได้ว่า เดอ นีโรโดนอาถรรพ์เดียวกับ เมอรีล สตรีพ ตรงที่พวกเขารับบทบาทใน Raging Bull และ Sophie’s Choice ได้ยอดเยี่ยมเกินไป จนทำให้ผลงานลำดับถัดๆ มายากจะก้าวขึ้นไปทัดเทียมได้ แต่ในที่สุดเมื่อปีก่อนสตรีพก็สามารถล้างอาถรรพ์ได้สำเร็จกับ The Iron Lady มาปีนี้นักแสดงในรุ่นเดียวกันอย่างเดอ นีโรจะเดินตามรอยไปติดๆ ได้หรือไม่ ข้อเสียเปรียบเด่นชัดของเขา คือ บทที่ค่อนข้างน้อย แม้จะไม่ได้น้อยถึงขั้น อลัน อาร์กิน ใน Argo ก็ตาม และการเคยได้ออสการ์มาแล้ว 2 ตัว เมื่อเทียบกับคู่แข่งคนอื่นๆ ซึ่งได้มาแค่คนละตัว
พิจารณาจากปัจจัยรอบข้างแล้ว วอลซ์ดูจะนำหน้าคนอื่นเล็กน้อย ตามมาด้วยฮอฟฟ์แมน, โจนส์, เดอ นีโร และอาร์กิน แต่ต้องยอมรับว่าสถานการณ์อาจพลิกผันได้ทุกนาที และใครก็ตามที่ลงเอยคว้ารางวัลไปครอง คงไม่สามารถถูกเรียกว่า “ม้ามืดได้อย่างแท้จริง

นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม

สภาพหวยล็อกของสาขานี้จะเป็นรองก็แค่สาขานำชาย แอนน์ แฮทธาเวย์ อาจไม่โชกโชนเวทีออสการ์มากเท่ากับ เอมี อดัมส์ (เธอเคยเข้าชิง 1 ครั้งในสาขานำหญิง ส่วนคนหลังเคยเข้าชิง 3 ครั้งในสาขาสมทบหญิง) แต่ต้องยอมรับว่าเธอได้คะแนนเพิ่มค่อนข้างมากจากเสียงร้องอันทรงพลัง หรือแทบจะเรียกได้ว่ามากพอๆ กับทักษะการแสดงของเธอเลยด้วยซ้ำ เธอเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในหนังเรื่อง Les Miserables และทุกคนก็ดูจะเห็นตรงกันในจุดนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะชอบ หรือไม่ชอบหนังโดยภาพรวมก็ตาม ฉากร้องเพลง I Dreamed a Dream น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เธอคว้ารางวัลมาครอง แบบเดียวกับฉาก And I Am Telling You I’m Not Going ของ เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน ใน Dreamgirls ที่สำคัญ การที่แฮทธาเวย์ต้องร้องสดผ่านฉากลองเทคกับกล้องในระยะโคลสอัพน่าจะยิ่งช่วยเพิ่มคะแนนได้ไม่น้อย เปรียบเสมือนการเล่นท่ายากได้สมบูรณ์จนแทบจะหาข้อตำหนิไม่ได้
จุดเสียเปรียบของแฮทธาเวย์อยู่ตรงที่บทของเธอค่อนข้างน้อย และหายจากจอไปตั้งแต่ก่อนหนังจะจบครึ่งแรกด้วยซ้ำ ซึ่งความเบาบางของบทถือเป็นจุดร่วมเดียวกันระหว่างเธอกับอดัมส์ และ แจ๊คกี้ วีเวอร์ แต่เห็นได้ชัดว่าในกลุ่มนี้ แฮทธาเวย์ใช้เวลาอันจำกัดได้คุ้มค่าสุด และทำให้คนดูคิดถึงมากที่สุดยามเมื่อเธอไม่ปรากฏตัวบนจอ... หรือบางทีอาจเป็นเพราะ The Master มี วาคีน ฟีนิกซ์ และ ฟิลิป ซีมัวร์​ ฮอฟฟ์แมน คอยแย่งซีน ส่วน Silver Linings Playbook ก็มี เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ คอยโปรยเสน่ห์ แต่ Les Miserables กลับมีเสียงร้องของ รัสเซล โครว คอยหลอกหลอน ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่ แอนน์ แฮทธาเวย์ จะสร้างความเด่นให้ตัวเองได้มากกว่าอดัมส์ หรือวีเวอร์
ถึงตรงนี้ คนที่มีน้ำหนักบทค่อนข้างมากอย่าง แซลลี ฟิลด์ และ เฮเลน ฮันท์ (รายหลังเกือบจะเป็นบทนำด้วยซ้ำ) จึงอาจพลิกล็อกในช่วงโค้งสุดท้ายได้ แต่น่าเสียดายตรงที่พวกเธอล้วนเคยได้ออสการ์มาแล้ว โดยเฉพาะฟิลด์ ซึ่งได้รางวัลสาขานำหญิงมาแล้วถึงสองครั้งจากการเข้าชิงสองครั้ง (เธอคือแม่แบบของ ฮิลารี สแวงค์ และ เควิน สเปซีย์) และหนังอย่าง Lincoln ก็น่าจะรับประกันรางวัลทางการแสดงแน่นอนแล้วในสาขานักแสดงนำชาย ฉะนั้นกรรมการอาจอยากเฉลี่ยรางวัลไปให้หนังเรื่องอื่นๆ บ้าง และนี่ก็เป็นสาขาเดียวที่ Les Miserables มีสิทธิ์ลุ้นมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม พึงระลึกไว้เสมอว่าเซอร์ไพรซ์ใหญ่ๆ มักเกิดขึ้นกับสาขาสมทบหญิงเสมอ ไม่เชื่อลองถาม มาริสา โทเม, มาเซีย เกย์ ฮาร์เดน และ แอนนา พาควินดูได้ แต่มองในมุมกลับ ทั้งหมดล้วนเป็นอดีตที่ค่อนข้างห่างไกล และตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทุกอย่างล้วนดำเนินไปตามโผ 

ความรู้สึกของผู้เข้าชิง

ฉันตื่นเต้นดีใจยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด การได้มีโอกาสร่วมงานกับเหล่าช่างเทคนิคที่ยอดเยี่ยมและศิลปินผู้มากพรสวรรค์ถือเป็นเกียรติมากอยู่แล้ว แต่ความเห็นชอบจากคณะกรรมการออสการ์ยิ่งทำให้ฉันซาบซึ้งและปลาบปลื้มจนพูดไม่ถูก ฉันยังไม่อยากเชื่อเลยว่าตัวเองจะได้เล่นบทนี้แซลลี ฟิลด์ (เข้าชิงสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจาก Lincoln)

ผมรู้สึกเหมือนบ้านของผมเพิ่งหล่นลงมากระแทกถนนอิฐสีเหลืองและทุกอย่างรอบตัวก็กลายเป็นภาพสี... ผมอยากขอบคุณคณะกรรมการที่สนับสนุนหนังเล็กๆ ซึ่งแตกต่างห่างไกลจากผลงานของฮอลลีวู้ด ผมคิดว่ามันเป็นความสำเร็จอันงดงามอย่างยิ่งสำหรับนักทำหนังอิสระและเสรีภาพแห่งความคิดสร้างสรรค์เบน ไซท์ลิน (เข้าชิงสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมจาก Beasts of the Southern Wild)

หลังจากได้เข้าชิงออสการ์ ผมก็ขับรถไปเจอฟูกขนาดควีนไซส์ระหว่างทางกลับบ้าน มันเป็นวันที่วิเศษสุดจริงๆ เซ็ธ แม็คฟาร์เลน (เข้าชิงสาขาเพลงประกอบยอดเยี่ยมจาก Ted)


ฉันรู้สึกสุขใจ ตื้นตัน และเป็นเกียรติอย่างสูง การถูกคัดเลือกโดยเหล่าพี่น้องนักแสดงเปรียบเสมือนของขวัญล้ำค่า ตลอดการทำงานเป็นเวลาหลายปีในยุโรปและฝรั่งเศส ฉันไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจะได้เดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมายังประเทศอเมริกาในฐานะผู้เข้าชิง มันช่างเหลือเชื่อที่สุด ฉันมีความสุขมากๆ ในถ่ายหนังเรื่อง Amour กับ ไมเคิล ฮาเนเก้ ฉันเชื่อใจเขาอย่างเต็มที่ และเราทำงานร่วมกันด้วยความเข้าใจเอ็มมานูเอล ริวา (เข้าชิงสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจาก Amour)

Flight ถือเป็นบทบาทที่ท้าทายที่สุดบทหนึ่ง และผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ โรเบิร์ต เซเมคิส มาเป็นผู้กำกับ ผมดีใจที่ได้รับเชิญไปงานออสการ์อีกครั้งเดนเซล วอชิงตัน (เข้าชิงสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก Flight)

ผมมีความสุขและปลาบปลื้มที่คณะกรรมการเสนอชื่อหนังเรื่อง Amour เข้าชิงในหลายสาขา และการที่มันสามารถเข้าถึงคนกลุ่มใหญ่ รวมทั้งได้รับความสำเร็จในหมู่นักวิจารณ์ ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก แต่ที่คุ้มค่ายิ่งไปกว่านั้น คือ การทราบว่าหนังเป็นที่ชื่นชอบของเพื่อนร่วมงานในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ซึ่งตระหนักดีถึงความยุ่งยากในการสร้างหนังสักเรื่องหนึ่ง ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม ขอบคุณมากๆไมเคิล ฮาเนเก้ (เข้าชิงสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมจาก Amour)

มันเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันจริงๆ เพราะปีนี้มีนักแสดงชั้นยอดมากมาย ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะมีโอกาส ฉันดูการประกาศผลทางทีวีเพราะนอนไม่หลับ (หลังเพิ่งนั่งเครื่องจากออสเตรเลียมาอเมริกา) และพอได้ยินชื่อตัวเอง ฉันก็เผลอตะโกนบางอย่างซึ่งคงไม่เหมาะจะนำไปพิมพ์เผยแพร่ ฉันดีใจอย่างที่สุด มันยอดเยี่ยมมาก การได้เป็นส่วนหนึ่งของหนังที่แสนวิเศษและทีมนักแสดงชั้นยอดทำให้ความสำเร็จนี้ยิ่งหอมหวานขึ้นอีก ฉันมีความสุขแทน เดวิด โอ. รัสเซลล์ และปลาบปลื้มอย่างที่สุดแจ๊คกี้ วีเวอร์ (เข้าชิงสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจาก Silver Linings Playbook)

คุณพระช่วย ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็น เมอรีล สตรีพ!! ขอบคุณมากๆอเดล แอดกินส์ (เข้าชิงสาขาเพลงประกอบยอดเยี่ยมจาก Skyfall)

ฉันคิดว่าตัวเองคงไม่ได้เข้าชิงหรอก แบบเดียวกับ BAFTA ก่อนหน้านี้ และฉันนึกว่าเขาประกาศผลกันตอนตีห้า พอไม่มีใครโทรมาหลังจากตีห้าสิบนาที ฉันเลยคิดว่าคงไม่ได้เข้าชิง แต่พีอาร์ฉันส่งข้อความมาบอกว่าพวกเขายังไม่ประกาศผล! ฉันรู้สึกตื่นเต้นและปลาบปลื้มมากเมื่อทราบข่าวดี มันเป็นประสบการณ์อันเหลือเชื่อที่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวการเดินทางของ มาเรีย เบลอน ฉันรู้สึกเป็นเกียรติสูงสุดนาโอมิ วัตส์ (เข้าชิงสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจาก The Impossible)

Frankenweenie เป็นหนังส่วนตัวมากๆ สำหรับผม ความคิดที่จะสร้างมันเป็นหนังขนาดยาวติดอยู่ในหัวผมมานานหลายปีแล้ว สต็อปโมชั่นถือเป็นเทคนิคที่เหมาะสมที่สุด ผมหลงรักมิติและเสน่ห์ของสต็อปโมชั่นมาตลอด ผมได้มีโอกาสร่วมงานกับศิลปินที่ยอดเยี่ยมมากมาย ทั้งนักแอนิเมชั่น นักพากย์ ทีมสร้างฉาก และนักปั้นโมเดล พวกเขาทั้งหมดล้วนมีส่วนร่วมกันชุบชีวิตหนังเรื่องนี้ชนิดเฟรมต่อเฟรม ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งทิม เบอร์ตัน (เข้าชิงสาขาภาพยนตร์แอนิเมชั่นยอดเยี่ยมจาก Frankenweenie)

มันน่าตื่นเต้นและเหนือจริง มันเป็นปีที่เข้มข้นมาก เต็มไปด้วยเรื่องราวน่าตื่นตา เล่าโดยนักทำหนังที่กล้าหาญและเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่มีชื่ออยู่ร่วมกลุ่มกับผู้เช้าชิงคนอื่นๆ ในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ผมเคยเป็นพิธีกรงานออสการ์ จึงได้เห็นแทบทุกด้านของงานมาแล้ว แต่การถูกเสนอชื่อเข้าชิงเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยคาดฝันว่าวันหนึ่งจะเป็นไปได้ฮิวจ์ แจ๊คแมน (เข้าชิงสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก Les Miserables)

พวกเรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ Brave เป็นเหมือนการผจญภัยนับตั้งแต่เริ่มต้นไปค้นหาข้อมูลที่สก็อตแลนด์ ทีมงานกระโจนเข้าสู่การเดินทางนั้น ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจและเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของทุกคนไปตลอดกาล ขอขอบคุณคณะกรรมการอย่างสูงมาร์ค แอนดรูว์ (เข้าชิงสาขาภาพยนตร์แอนิเมชั่นยอดเยี่ยมจาก Brave)

การเติบโตมาในประเทศสวีเดนทำให้ผมรู้สึกว่ารางวัลออสการ์เป็นเหมือนแฟนตาซีที่ห่างไกลความจริง เป็นแค่ฝันลมๆ แล้งๆ ของเด็กคนหนึ่ง ผมไม่เคยพบเห็นเรื่องราวแบบเดียวกับชีวิตของโรดริเกซมาก่อน และผมรู้สึกขอบคุณเขาอย่างยิ่งที่เปิดโอกาสให้ผมนำการเดินทางอันน่าอัศจรรย์นั้นมาแบ่งปันกับผู้ชมทั่วโลก ขอบคุณคณะกรรมการ โซนี พิคเจอร์ส คลาสสิก และทุกๆ ความพยายามที่ทำให้หนังเรื่องนี้สำเร็จลุล่วงมาลิค เบนด์เจลลัว (เข้าชิงสาขาหนังสารคดียอดเยี่ยมจาก Searching for Sugar Man)

ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงที่คณะกรรมการพิจารณาว่าผลงานของเราใน Les Miserables ควรค่าแก่การเข้าชิงรางวัลออสการ์ ผมอยากขอบคุณทีมนักแสดงชั้นยอดที่ไว้ใจผมให้บันทึกเสียงร้องสดๆ ของพวกเขา ผมอยากขอบคุณ ทอม ฮูเปอร์ สำหรับแรงสนับสนุนและกำลังใจ รวมถึงทีมงานทั้งหมดของ Les Miserables ที่ร่วมใจกันทำงานด้วยความเป็นมืออาชีพไซมอน เฮย์ส (เข้าชิงสาขาบันทึกเสียงยอดเยี่ยมจาก Les Miserables)


เก็บตกสถิติ

* นี่ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ผู้เข้าชิงในสาขาการแสดงทั้ง 5 คนล้วนเคยได้รางวัลออสการ์มาแล้ว ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมซึ่งประกอบไปด้วย อลัน อาร์กิน (ได้ออสการ์จาก Little Miss Sunshine) คริสตอฟ วอลซ์ (ได้ออสการ์จาก Inglourious Basterds) โรเบิร์ต เดอ นีโร (ได้ออสการ์จาก The Godfather, Part II และ Raging Bull) ทอมมี ลี โจนส์ (ได้ออสการ์จาก The Fugitive) และ ฟิลิป ซีมัวร์ ฮอฟฟ์แมน (ได้ออสการ์จาก Capote)

* Silver Linings Playbook กลายเป็นหนังเรื่องแรกในรอบ 31 ปีนับจาก Reds ที่นักแสดงได้เข้าชิงออสการ์ครบทั้งสี่สาขา ส่วนสถิติสูงสุดของการเข้าชิงในสาขาการแสดงต่อหนังหนึ่งเรื่อง คือ 5 รางวัล ได้แก่ Network, Mrs. Miniver, From Here to Eternity, On the Waterfront, All About Eve, Bonnie and Clyde, The Godfather, Part II, Peyton Place และ Tom Jones โดยในกลุ่มนี้มีเพียง Network, Bonnie and Clyde, From Here to Eternity และ Mrs. Miniver ที่เข้าชิงครบทุกสาขาการแสดง (นำชาย, นำหญิง, สมทบชาย, สมทบหญิง) สำหรับหนังเรื่องอื่นๆ ที่ได้เข้าชิงครบทั้ง 4 สาขาการแสดงได้แก่ My Man Godfrey, For Whom the Bell Tolls, Johnny Belinda, Sunset Blvd., A Streetcar Named Desire, Who’s Afraid of Virginia Woolf?, Guess Who’s Coming to Dinner และ Coming Home 

* เบน ไซท์ลิน (30 ปี) เป็นผู้กำกับอายุน้อยที่สุดลำดับที่ 7 ที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ โดยผู้ถือครองสถิติสูงสุดยังคงเป็น จอห์น ซิงเกิลตัน (24 ปี) จาก Boyz in the Hood รองลงมา คือ ออร์สัน เวลส์ (26 ปี) จาก Citizen Kane  

* ปีนี้สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมมีผู้เข้าชิงทำสถิติอายุมากสุดและน้อยสุดพร้อมกัน โดย คัวแวนจาเน วอลลิส (Beasts of the Southern Wild) อายุ 9 ขวบ ลบสถิติเดิมของ ไคชา แคสเทิล-ฮิวส์ (Whale Rider) ซึ่งเข้าชิงตอนอายุ 13 ขวบ ส่วน เอ็มมานูเอล ริวา (Amour) อายุ 85 ปีก็ลบสถิติเดิมของ แจสซิก้า แทนดี้ (Driving Miss Daisy) ซึ่งเข้าชิงตอนอายุ 85 ปี (และคว้ารางวัลไปครอง) สำหรับเจ้าของสถิติผู้เข้าชิงอายุมากสุดและน้อยสุดในสาขาการแสดงยังคงไม่เปลี่ยนแปลง นั่นคือ กลอเรีย สจ๊วต (87 ปี) ในสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจาก Titanic และ จัสติน เฮนรี (8 ขวบ) ในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจาก Kramer vs. Kramer

* Les Miserables เป็นหนังเพลงเรื่องแรกในรอบ 1 ทศวรรษที่ได้เข้าชิงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมหลังจาก Chicago ซึ่งคว้ารางวัลสูงสุดไปครอง ส่วน Life of Pi ถือเป็นหนัง 3D เรื่องที่ 5 ที่ได้เข้าชิงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมหลังจาก Avatar, Up, Toy Story 3 และ Hugo

* อลัน อาร์กิน ทำสถิติเป็นนักแสดงชายที่ทิ้งช่วงระหว่างการเข้าชิงครั้งแรกและครั้งล่าสุดนานที่สุด นั่นคือ 46 ปี (เขาเข้าชิงครั้งแรกในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก The Russians Are Coming, The Russians Are Coming) ส่วนเจ้าของสถิติสูงสุดตลอดกาลยังคงเป็น แคธารีน เฮบเบิร์น ซึ่งทิ้งช่วงระหว่างการเข้าชิงครั้งแรกกับครั้งสุดท้ายนาน 48 ปี

* เดเนียล เดย์-ลูว์อิสต์ เป็นนักแสดงคนที่ 2 ที่ได้เข้าชิงออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากการสวมบทบาทเป็น อับราฮัม ลินคอล์น คนแรก คือ เรย์มอนด์ มาสซี จาก Abe Lincoln in Illinois เมื่อ 72 ปีก่อน และเป็นนักแสดงคนที่ 5 ที่ได้เข้าชิงออสการ์สาขานำชายจากการรับบทเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ อีก 3 คนที่เหลือได้แก่ เจมส์ วิทมอร์ (Give ‘em Hell, Harry!) แอนโธนีย์ ฮอปกินส์ (Nixon) และ แฟรงค์ แลนเจลลา (Frost/Nixon)

* ออสการ์ปีนี้ถือเป็นการรวมรุ่นนักแสดงที่ห่างหายจากเวทีนี้ไปนาน ได้แก่ แซลลี ฟิลด์ (28 ปีหลังจาก Places in the Heart) โรเบิร์ต เดอ นีโร (21 ปีหลังจาก Cape Fear) เฮเลน ฮันท์ (15 ปีหลังจาก As Good As It Gets) เดนเซล วอชิงตัน (10 ปีหลังจาก Training Day) และ นาโอมิ วัตส์ (9 ปีหลังจาก 21 Grams)

ไม่มีความคิดเห็น: