ในฉากหนึ่งช่วงต้นเรื่อง เชอรีล
สเตรย์ (รีส วิทเธอร์สพูน) บอกเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสารการหย่าว่านามสกุลใหม่ของเธอสะกดแบบเดียวกับหมาจรจัด (stray dog) พร้อมกันนั้นหนังก็สอดแทรกช็อตจากพจนานุกรมที่จำกัดคำนิยามของ
“strayed” เข้ามาแวบหนึ่งว่าหมายถึง
การเดินออกจากเส้นทางที่ถูกต้อง/ หลงทาง/ กำพร้าพ่อแม่/ ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ (wild)
เชอรีลเลือกนามสกุลนี้เพราะเห็นว่ามันเป็นคำที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับใช้อธิบายสภาวะจิตใจ
ตลอดจนสภาพชีวิตโดยรวมของเธอ ก่อนจะตัดสินใจออกเดินป่าไปตามเส้นทาง Pacific
Crest Trail (PCT) เป็นระยะทาง 1,100 ไมล์ ข้ามเขตแดน 3 รัฐ โดยเริ่มต้นจากแคลิฟอร์เนีย ผ่านโอเรกอน
และไปสิ้นสุดที่วอชิงตัน กล่าวคือ ชีวิตเธอ ณ ขณะนั้นกำลังดำดิ่งสู่หุบเหวจากการมีเซ็กซ์กับผู้ชายไม่เลือกหน้า
และเสพติดเฮโรอีน จนเป็นผลให้ชีวิตแต่งงานล่มสลาย โดยฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้เธอตัดสินใจลุกขึ้นมาเดินป่าเพื่อ “กลับไปเป็นผู้หญิงแบบที่แม่ฉันต้องการให้เป็น” คือเมื่อเธอค้นพบว่าตัวเองตั้งครรภ์
แต่ไม่แน่ใจว่ากับใครกันแน่
“ฉันเคยเข้มแข็ง รับผิดชอบ ทะเยอทะยานที่จะทำสิ่งต่างๆ...” เธอกล่าวกับเพื่อนสนิททั้งน้ำตา หลังตระหนักว่าชีวิตของเธอกำลังพังทลายด้วยน้ำมือตัวเอง
Wild
บอกเล่าถึงเรื่องราวการเดินป่าอันเป็นรูปธรรมของเชอรีลมากพอๆ
กับการเดินทางภายใน ซึ่งเป็นนามธรรม เพื่อทำใจยอมรับการสูญเสียและความผกผันแห่งชะตาชีวิต
หลังบ็อบบี (ลอรา เดิร์น) แม่ผู้เป็นที่รักของเธอ
ตายจากไปด้วยโรคมะเร็งขณะอายุเพียง 45 ปี นักข่าวที่เขียนบทความเกี่ยวกับคนจรจัดตั้งข้อสังเกตว่าบาดแผลทางจิตใจมักจะมีส่วนสำคัญในการทำให้คนตัดสินใจละทิ้งชีวิตธรรมดาสามัญ
แล้วหันมาร่อนเร่พเนจร แม้เชอรีลจะยืนกรานกับเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเธอไม่ใช่คนจรจัด
(แต่รายละเอียดหลายอย่างทำให้เธอถูกจัดเข้าข่ายได้ไม่ยาก
เพราะขณะนั้นเธอไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง หรือกระทั่งอาชีพการงาน) แค่ต้องการ “พักยก” จากชีวิตเท่านั้น
ความเศร้าโศกเสียใจชักนำเชอรีลออกจากเส้นทางที่ถูกต้อง
เธอเสพยาและเซ็กซ์กับคนแปลกหน้าด้วยความหวังว่าความสุขชั่วครั้งชั่วคราวเหล่านั้นจะช่วยกลบเกลื่อนความเจ็บปวดที่ฝังลึกอยู่ภายใน
เธอปลดปล่อยตัวเองจากการผูกมัดอย่างความรัก ความสัมพันธ์ เพราะคิดว่ามันจะช่วยให้เธอเป็นอิสระ
แต่ยิ่งพยายามปฏิเสธความเจ็บปวดเท่าไหร่
โซ่ตรวนของมันกลับยิ่งรัดแน่นจนเธอไม่อาจหลีกหนี แม้กระทั่งในห้วงเวลาแห่งการกอบโกย
“ความสุข” จากเซ็กซ์ไม่เลือกหน้า วิญญาณของบ็อบบีก็ดูจะตามหลอกหลอนเธออยู่
สำหรับเชอรีลการเดินป่าเป็นหนทางที่จะนำระบบระเบียบ
ความรับผิดชอบ และเป้าหมายกลับคืนมาสู่ชีวิต ซึ่งหักเลี้ยวเข้ารกเข้าพงไปไกล
เพราะเส้นทาง PCT
นั้นต้องอาศัยความมุ่งมั่น กล้าหาญ และอดทนขั้นสูงสุด
ขนาดที่ผู้ชายบางคน ซึ่งเชอรีลเจอระหว่างทางยังถึงขั้นถอดใจไปก่อน โดยความยากลำบากของการนอนกลางดินกินกลางทรายเป็นเวลาหลายวันท่ามกลางสภาพอากาศร้อนจัดและหนาวจัดหาใช่อุปสรรคเดียว
แต่ยังรวมถึงความโดดเดี่ยว ปราศจากปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม สำหรับเชอรีลซึ่งต้องการหลบหนีจากความว้าวุ่น สับสน
การเดินป่าเพียงลำพังกลับเป็นโอกาสให้เธอได้ทบทวนและค้นหาความหมายของชีวิต “ตอนอยู่ในเมืองฉันเหงามากกว่าตอนอยู่ที่นี่ซะอีก” เธอกล่าวกับหญิงสาวอีกคนที่มาเดินป่าบนเส้นทางเดียวกัน
การดัดแปลงหนังสือของ
เชอรีล สเตรย์
ซึ่งเป็นส่วนผสมระหว่างบันทึกชีวิตและบันทึกการเดินทางไม่ใช่เรื่องง่าย
เนื่องจากมันแทบจะปราศจากพล็อตที่จับต้องได้ รวมทั้งตัวละครเอกก็มีบุคลิกไม่น่ารักสักเท่าไหร่
แต่ผู้กำกับ ฌอง-มาร์ก วาลี และคนเขียนบท นิค ฮอร์นบี เลือกที่จะซื่อตรงกับต้นฉบับด้วยการคงความแข็งกระด้างของตัวละคร
ตลอดจนโครงสร้างการเล่าเรื่องโดยรวม และใช้การเดินป่าไปตามเส้นทาง PCT เป็นแกนหลัก
จากนั้นก็ค่อยๆ พาคนดูไปรู้จักชีวิตส่วนตัวของเชอรีลผ่านภาพแฟลชแบ็คเป็นระยะๆ ตั้งแต่วัยเด็กเมื่อหลายปีก่อน
จนกระทั่งช่วงเวลาไม่กี่เดือนก่อนเธอตัดสินใจออกมาเดินป่า ความชาญฉลาดของบทภาพยนตร์อยู่ตรงที่มันไม่ได้เรียงลำดับเวลาเหตุการณ์เหล่านั้นอย่างเป็นระเบียบ
ตรงกันข้าม ภาพบางภาพ เหตุการณ์บางเหตุการณ์อาจแวบขึ้นมาดุจเดียวกับความทรงจำของตัวละครที่ถูกกระตุ้นโดยสิ่งต่างๆ
รอบข้าง กลวิธีดังกล่าวช่วยพาคนดูให้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับเชอรีล เพราะโดยเนื้อแท้แล้วเธออาจไม่ใช่ตัวละครเปี่ยมเสน่ห์
หรือน่าเห็นใจ แต่อย่างน้อยหนังก็พยายามช่วยให้เราเข้าใจเธอมากขึ้น
หนึ่งในนั้น
คือ ฉากแฟลชแบ็คบทสนทนาในห้องครัวระหว่างเชอรีลกับแม่ของเธอ ฝ่ายแรกรู้สึกรำคาญฝ่ายหลังที่ฮัมเพลงขณะปรุงอาหารอย่างมีความสุข
เพราะสภาพความเป็นอยู่ของพวกเขา ณ ขณะนั้นมันช่างห่างไกลจากความรู้สึกสุขสันต์
หรือร่าเริงเสียเหลือเกินในสายตาเธอ ฉากดังกล่าวสะท้อนให้เห็นสองมุมมองต่อชีวิตที่แตกต่างของผู้หญิงสองคน
โดยคนหนึ่งเลือกจะมองว่าน้ำหมดไปแล้วครึ่งแก้ว
ขณะที่อีกคนกลับเลือกจะมองว่ายังเหลือน้ำอยู่อีกตั้งครึ่งแก้ว
นั่นไม่ได้หมายความว่าบ็อบบีไร้เดียงสา หรือหลอกตัวเอง เพราะเธอคงต้องเปี่ยมจินตนาการ
หรือเพ้อเจ้อขั้นสุด หากยังเชื่อจริงๆว่าโลกใบนี้เต็มไปด้วยแง่งามและความสุขสันต์
หลังจากต้องทนทุกข์อยู่กับสามีขี้เหล้าที่เห็นเมียเป็นกระสอบทรายอยู่นานหลายปี
ในทางตรงกันข้าม บ็อบบี “เก็ท” ว่าโลกเต็มไปด้วยแง่มุมอัปลักษณ์ และชีวิตก็หาได้ราบรื่น
หรือสวยงามไปซะทั้งหมด แต่เธอเลือกที่จะไม่ยึดติดอยู่กับข้อเท็จจริงดังกล่าว “ถามว่าแม่เสียใจมั้ยที่แต่งงานกับไอ้ขี้เหล้าที่ชอบตบตีเมีย... ไม่เลย
แม่ไม่เสียใจสักนิด เพราะมันทำให้แม่มีลูกกับน้องชาย เห็นมั้ยว่าชีวิตก็แบบนี้แหละ”
เชอรีลต่างกับแม่ตรงที่เธอไม่รู้จักปล่อยวาง
เธอชื่นชอบที่จะทำให้ชีวิตเป็นเรื่องยากลำบาก
จนไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเธอถึงเลือกเส้นทางอันหฤโหดของ PCT เป็นแบบทดสอบชีวิตและค้นหาตนเอง
การเดินป่าไม่เพียงเปิดโอกาสให้เชอรีลได้ทบทวนอดีต แล้วครุ่นคิดถึงอนาคตเท่านั้น
แต่มันยังทำให้เธอได้พบเจอกับผู้คนหลากหลาย
ทั้งที่น่าคบหาและไม่ค่อยจะน่าคบหาสักเท่าไหร่ (เช่นเดียวกับตัวละครเอก
หนังไม่ได้วาดภาพโรแมนติกให้กับการเดินป่า ท่องธรรมชาติแบบเดียวกับสารคดีท่องเที่ยวทั้งหลาย
จริงอยู่ว่ามันมีด้านที่งดงามของทิวทัศน์ ความเงียบสงบ
แต่ขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยอันตรายทั้งจากสัตว์มีพิษและการขาดแคลนอาหาร น้ำดื่ม)
และที่สำคัญที่สุด มันทำให้เธอตระหนักว่าความยากลำบากของชีวิตไม่ได้จำกัดเฉพาะอยู่กับเธอเพียงลำพัง
เพราะทุกคนล้วนมีปัญหา และต่างก็ต้องเผชิญความสูญเสียมาแล้วทั้งนั้น
ซึ่งบางครั้งหนังก็บอกกล่าวอย่างตรงไปตรงมาผ่านบทสนทนา เช่น
กรณีของผัวเมียฮิปปี้ที่เชอรีลขอติดรถไปด้วย หรือสื่อแค่เป็นนัยๆ เช่น
กรณีของคุณยายกับหลานชายตัวน้อยที่มาเดินป่าท่องเที่ยว
ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องของมุมมอง
เชอรีลเลือกจะโฟกัสอยู่แค่ตัวเธอ ปัญหาของเธอ แล้วเฝ้ามองทุกอย่างหมุนรอบตัวเอง
ดังนั้นเธอจึงรู้สึกหงุดหงิดกับโปสเตอร์ในห้องเรียนที่บ่งชี้ให้เห็นว่ามนุษย์นั้นเป็นเพียงจุดเล็กๆ
ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ จุดประสงค์ของโปสเตอร์ดังกล่าวหาใช่จะบอกว่า “คุณไม่มีความสำคัญ”
เหมือนที่เชอรีลเข้าใจ
แต่เพื่อบอกกล่าวให้มนุษย์เรียนรู้ที่จะถอยออกมาหนึ่งก้าว แล้วมองสิ่งต่างๆ
ในมุมที่กว้างขึ้นต่างหาก
สภาพจิตใจของเชอรีลก็ไม่ต่างจากเป้แบ็คแพ็คขนาดมหึมา
เธอแบกรับน้ำหนักเกินจำเป็นเอาไว้หลายสิ่ง ทั้งความโศกเศร้า
โกรธแค้นต่อชะตากรรมและพระเจ้าที่อำมหิต ไร้ความปราณี หากสัมภาระ (รูปธรรม)
ที่มากมายเกินไปสามารถเป็นอุปสรรคต่อการเดินป่า
ส่งผลให้เราไม่สามารถทำระยะทางได้ตามต้องการ แถมยังอาจจะสร้างอาการปวดหลัง
เคล็ดขัดยอกได้ฉันใด สัมภาระทางอารมณ์ (นามธรรม) ที่มากมายเกินไปก็อาจก่อให้เกิดความเสียหายและอันตรายได้ดุจเดียวกันฉันนั้น
โดยระหว่างการเดินทางเชอรีลไม่เพียงจะได้คำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ในแคมป์พักแรมให้ละทิ้งของบางอย่างที่ไม่จำเป็น
เพื่อการเดินป่าที่สะดวกสบายขึ้นเท่านั้น แต่เธอยังเรียนรู้ที่จะปลดปล่อยน้ำหนักภายใน
ที่คอยถ่วงให้ชีวิตของเธอไม่อาจก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้อีกด้วย
แต่เช่นเดียวกับการเดินทางท่องเที่ยว
ซึ่งเราจำเป็นต้องแบกรับน้ำหนักของสัมภาระบางอย่างโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง ชีวิตมนุษย์ทุกคนเองก็ไม่อาจหลีกหนีความรับผิดชอบ
บาดแผล ความเจ็บปวดได้อย่างหมดจด และความสงบสุขทางจิตใจจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราเรียนรู้ที่จะอยู่กับสิ่งเหล่านั้นให้ได้
ยอมรับน้ำหนักบางส่วนที่พอจะแบกไหว แล้วปลดปล่อยบางส่วนทิ้งไป ประเด็นดังกล่าวสอดคล้องอย่างเหมาะเจาะกับเนื้อหาของเพลง
El
Condor Pasa (If I Could) ของ ไซมอน แอนด์ การ์ฟังเคิล ซึ่งหนังนำมาใช้ซ้ำอยู่หลายครั้ง
เพราะมันพูดถึงแรงปรารถนาที่จะโบยบินอย่างอิสระ ปราศจากสัมภาระ ดุจเดียวกับนกกระจอก
หรือหงส์ แทนที่จะเป็นสิ่งมีชีวิตซึ่งถูกจำกัดด้วยแรงโน้มถ่วงอย่างหอยทาก...
หรือมนุษย์ ก่อนสุดท้ายก็จำยอมที่จะ “ก้าวเดินไปบนพื้นดิน” หรืออีกนัยหนึ่งคือยอมรับในข้อจำกัดเหล่านั้น
แทนที่จะโหยหาถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จนหวนไห้ด้วยสรรพเสียงอัน “เศร้าสร้อยสุดแสน” เพราะถึงที่สุดแล้วแม้อิสรภาพแบบนก
(ชื่อเพลงเป็นภาษาสเปน แปลตรงตัวได้ว่า “นกแร้งบินผ่านไป”) จะนำมาซึ่งความน่าตื่นตาต่อบรรดาผู้ชมบนผืนแผ่นดินมากเพียงใด
สุดท้ายมันก็บินโฉบมาเพียงชั่วครู่ ก่อนจะหายลับไปจากสายตา
เชอรีลค้นพบบทเรียนดังกล่าวเมื่อการเดินทางของเธอมาสิ้นสุดลงที่สะพานข้ามแม่น้ำโคลัมเบีย
(ในช็อตหนึ่งเราจะได้เห็นนกเหยี่ยว หรือนกอินทรีบินโฉบผ่านไป) ความทรงจำเกี่ยวกับบ็อบบี ตลอดจนบาดแผลจากความสูญเสียจะยังคงอยู่กับเธอตลอดไป
เธอยอมรับ พร้อมกับหลั่งน้ำตาให้กับมัน แต่จะไม่ปล่อยให้มันคอยถ่วงเธอจากการก้าวเดินไปข้างหน้าอีกต่อไป
“ฉันตระหนักว่าไม่จำเป็นต้องยื่นมือเปล่าไปสัมผัสแต่อย่างใด
แค่ได้เห็นปลาแหวกว่ายอยู่ใต้ผืนน้ำก็เพียงพอแล้ว” เสียงจากความคิดของเชอรีลดังก้องในฉากสุดท้าย...
และเมื่อหยุดโหยหาในสิ่งที่ไม่อาจเป็นไปได้
หรือจมปลักอยู่กับสิ่งที่ไม่อาจแก้ไขอะไรได้
เมื่อนั้นเองที่เธอค้นพบกับอิสรภาพอย่างแท้จริง
1 ความคิดเห็น:
พึ่งดูหนัง อ่านบทความแล้วเหมือนอ่านเฉลยข้อสอบคำตอบมักชัดเจน ตรงประเด็น ที่สำคัญคือมันต้องถูกอยู่แล้ว :-)
แสดงความคิดเห็น